This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จับหนุ่มหื่นปีนเข้าห้องพักขืนใจหญิงสาว


ตำรวจหนองจอกตามจับกุมผู้ต้องหาปินเข้าห้องพักไปข่มขืนหญิงสาวโดยใช้อาวุธมีดข่มขู่ จากนั้นกักขังไว้จนถึงเช้าแล้วหลบหนีไป พบยังต้องคดีขับรถชนคนตายอีกต่างหาก 
       วันนี้ (12 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ สน.หนองจอก พ.ต.อ.ศราวุธ จิตต์ระเบียบ ผกก.สน.หนองจอก พ.ต.ท.ชัยชวัชร์ ภูมิรินทร์ชินธนโชติ รอง ผกก.สน.หนองจอก แถลงการจับกุม นายสมชาย หรือซุป ฮามัดสอิ๊ด อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาคดีข่มขืน น.ส.ฝ้าย (นามสมมติ) อายุ 24 ปี พร้อมของกลางอาวุธมีด 1 เล่ม โดยสามารถตามจับตัวได้ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านหนองจอก กทม.
       พ.ต.อ.ศราวุธเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 22.00 น. นายสมชายได้ปีนฝ้าเพดานห้องพักย่านกระทุ่มราย เขตหนองจอก เพื่อเข้าไปข่มขืนผู้เสียหาย ซึ่งอยู่หอพักเพียงลำพังและใช้อาวุธมีดข่มขู่พร้อมข่มขืน แล้วกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ในห้องพักจนถึงช่วงเช้า ต่อมาผู้เสียหายได้เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จนสืบทราบว่านายสมชายเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว และสามารถตามจับกุมได้ในที่สุด พร้อมแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา นอกจากนี้นายสมชายยังมีคดีข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถของผู้อื่นจนได้รับความเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2551 ในท้องที่ สน.หนองจอก และยังเคยติดคุกในข้อหาลักทรัพย์ที่ จ.ฉะเชิงเทรามาแล้ว
       นายสมชายกล่าวว่า พักอาศัยอยู่ในย่านนี้มาประมาณ 7 ปี แต่ไม่รู้จักผู้เสียหาย เพิ่งมาพักอาศัยได้เพียง 3-4 เดือน โดยวันเกิดเหตุได้กินสุราจนมีอาการเมาจึงเกิดอารมณ์ แล้วได้ขึ้นไปชั้น 2 ของหอพักซึ่งเป็นชั้นที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ แล้วแอบงัดฝ้าเพดานเข้าไปในห้องผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธมีดจี้คอเพื่อไม่ให้ขัดขืน พร้อมกักขังผู้เสียหายจนถึงเช้าแล้วแยกย้ายกันไป ก่อนจะมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หนองจอก ยังสามารถติดตามจับกุมนายทรงศักดิ์ เสมสมบูรณ์ อายุ 40 ปี ชาว กทม. พร้อมของกลางยาบ้า 160 เม็ด และยาไอซ์ 1 กรัม ได้ที่ภายในบ้านพักเลขที่ 69/2 หมู่ 4 ซ.อยู่วิทยา 4 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. โดยผู้ต้องหาซุกซ่อนยาเสพติดไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างขวา นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 มม. พร้อมกระสุนปืน 1 นัด และยาบ้า 6 เม็ด ได้ที่แยกไฟแดงบริเวณหน้าสำนักเขตหนองจอก โดยตำรวจจับกุมตัวได้ขณะตั้งด่านตรวจตามปกติ...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th:12 พฤษภาคม 2555 16:16 น.

จับแล้วมือปาระเบิดวงเหล้า ที่แท้เมียจ้างญาติ

                                 พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. แถลงผลการจับกุม น.ส.อริศา หรือน้ำ สีมอ อายุ 20 ปี นายประเสริฐพร หรือเติ้ล กลิ่นคำดี อายุ 29 ปี และนายอุดมเดช หรือตั้ม กลิ่นคำดี อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุ

จับแล้วมือปาระเบิดวงเหล้า ที่แท้เมียจ้างญาติ 8 หมื่น ฆ่าผัวหวังฮุบกิจการ...ตร.ตามรวบแล้ว สองพี่น้องปาระเบิดใส่วงเหล้าริมถนนกัลปพฤกษ์ ตาย 2 เจ็บ 3 ที่แท้เป็นฝีมือของเมียเจ้าของร้านโฟมจ้างญาติตัวเองในราคา 8 หมื่น ขี่ จยย.มาปาระเบิดสังหารสามีตัวเองหวังฮุบกิจการ ตร.ตามสืบจากกล้องวงจรปิดและตามจับได้ที่ จ.ปราจีนบุรี พร้อม จยย.ของกลาง ก่อนตามจับเมียสุดโหดได้ในเวลาต่อมา 
       
       วันนี้ (11 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสนครบาล พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. แถลงผลการจับกุม 
น.ส.อริศา หรือน้ำ สีมอ อายุ 20 ปี 
นายประเสริฐพร หรือเติ้ล กลิ่นคำดี อายุ 29 ปี และ
นายอุดมเดช หรือตั้ม กลิ่นคำดี อายุ 27 ปี 
   ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาร่วมกันพยายามฆ่านายสมบูรณ์ สายดง ซึ่งเป็นสามี น.ส.อริศา หรือน้ำ สีมอ พร้อมพวก โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ก่อเหตุปาระเบิดใส่กลุ่มนายสมบูรณ์เมื่อกลางดึกวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา เหตุเกิดที่หน้าร้านดำรงโฟม ถ.กัลปพฤกษ์ ฝั่งมุ่งหน้าถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม. จนเป็นเหตุให้นายสินาถ บุตรวิชา และนายโจอี้ สายดง เสียชีวิตภายในทิ่เกิดเหตุ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 คน
       พล.ต.ท.วินัยเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ติดตามคนร้าย กระทั่งพบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ในร้านที่เกิดเหตุ บันทึกภาพคนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่จักรยานยนต์มาก่อเหตุ และสืบทราบว่า น.ส.อริศา ภรรยาของนายสมบูรณ์มีส่วนเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบสวน กระทั่งรับสารภาพว่าเป็นผู้ว่าจ้างนายประเสริฐพร หรือเติ้ล กลิ่นคำดี และนายอุดมเดช หรือตั้ม กลิ่นคำดี สองพี่น้องให้ก่อเหตุปาระเบิดใส่กลุ่มนายสมบูรณ์จริง โดยให้ค่าจ้างเป็นเงิน 80,000 บาท ส่วนนายประเสริฐพร หรือเติ้ล กลิ่นคำดี และนายอุดมเดช หรือตั้ม กลิ่นคำดี เจ้าหน้าที่ตามจับกุมได้ที่ จ.ปราจีนบุรี พร้อมของกลางจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ
       จากการสอบสวน น.ส.อริศาให้การรับสารภาพว่า สาเหตุที่ก่อเหตุคือ นายสมบูรณ์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านดำรงโฟมและเป็นสามีของตน มีปัญหาทะเลาะกับพ่อแม่ของตน และมีปัญหาในเรื่องส่วนตัวหลายเรื่อง ประกอบกับต้องการจะฮุบกิจการของนายสมบูรณ์เป็นของตนเองจึงวางแผนลงมือฆ่า โดยการจ้างวานญาติของตนลงมือ ซึ่งคือผู้ต้องหาอีก 2 คน แต่สุดท้ายก็มาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และนำตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...
11 พฤษภาคม 2555 14:12 น.

รอง ผบช.น.ประชุมเร่งรัดคดีปาบึ้มวงเหล้า ดับ 2 ศพ
22 เมษายน 2555 20:55 น.


รอง ผบช.น.ประชุมคลี่คลายคดีปาระเบิดใส่วงเหล้าริมถนนกัลปพฤกษ์ จนมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บอีก 3 ราย ระบุ คนร้ายมีทักษะในการขว้างระเบิดเป็นอย่างดี ส่วนปมสังหารให้น้ำหนักเรื่องชู้สาว หลังสอบพบหนึ่งในผู้ตายไปทำสาวร้องไห้ที่ร้านคาราโอเกะ ก่อนเกิดเหตุ แต่ยังไม่ตัดประเด็นขัดแย้งธุรกิจ
       
       วันนี้ (22 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ สน.เพชรเกษม พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิศักดิ์ รอง ผบช.น.เรียกประชุมฝ่ายสืบสวนเพื่อติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดคดีที่คนร้ายขับขี่จักรยานยนต์เป็นพาหนะขว้างระเบิดใส่ ร้านดำรงโฟม ตั้งอยู่ริมถนนกัลปพฤกษ์ ตัดถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม. เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 22.15 น.วันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ นายโจอี้ สายดง อายุ 37 ปี และ นายสีนาท บุตรวิชา อายุ 54 ปี เสียชีวิต ส่วนนายสมบูรณ์ สายดง อายุ 56 ปี บิดา นายโจอี้ นายดำรง อุดมพร อายุ 58 ปี และ นายณรงค์ศักดิ์ คงดี อายุ 40 ปี ได้รับบาดเจ็บ
       
       พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า จากสอบสวนทราบว่าก่อนที่จะเกิดเหตุผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งหมด 5 คน ได้ตั้งวงดื่มสุรากัน ส่วนแนวทางการสืบสวนสาเหตุในครั้งนี้ตั้งไว้ 5 ประเด็น ตั้งแต่เรื่องชู้สาว ทะเลาะวิวาท ขัดแย้งธุรกิจ และอื่นๆ ซึ่งทุกประเด็นยังไม่ได้ตัดทิ้ง แต่ได้ให้น้ำหนักไปเรื่องการทะเลาะวิวาทช่วงเทศกาลสงกรานต์ และทะเลาะวิวาทในกลุ่มตามสถานบันเทิง เพราะนายโจอี้ ผู้ตายและเพื่อนในกลุ่มชอบเที่ยวและมีปัญหาในสถานบันเทิงเป็นประจำ สำหรับภาพกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บริเวณใกล้ที่เกิดเหตุนั้น ทางฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.9 ตรวจสอบพบดูว่า เป็นภาพคนร้ายในระยะไกล ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุนั้น น่าจะมีความชำนาญ เพราะมีทักษะในการขว้าง สำหรับระเบิดที่คนร้ายใช้ลงมือนั้น เป็นระเบิดชนิด 82-2 ซึ่งผลิตในประเทศจีน มีระยะการทำร้ายรัศมี 6 เมตร และมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้าน
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับก่อนที่จะเหตุการณ์ดังกล่าวเพียง 1 วัน นายโจอี้ ผู้เสียชีวิต ช่วงหัวค่ำได้ไปนั่งดื่มเหล้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กลับเข้ามาที่ร้านดำรงโฟม ก่อนที่จะไปนั่งร้านคาราโอเกะ ก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านคาราโอเกะ มานั่งกินข้าวต้มต่อ โดยระหว่างเดินออกมานั้น มีหญิงสาวร้องไห้เดินตามมาออกมา ก่อนที่จะไปนั่งข้าวต้มที่ซอยเอกชัย 64 โดยผู้ตายสั่งเบียร์มาดื่ม 1 ขวด จนเมานอนหลับคาเก้าอี้ ซึ่งระหว่างที่นายโจอี้นั่งดื่มนั่งบ่นอยากตาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนว่าช่วงที่นั่งอยู่ในร้านนายโจอี้ มีปัญหากับใครหรือไม่


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตร.ชนะสงครามรวบแก๊งแสบ หลอกเรี่ยไรเงินทำบุญ

                                          ผู้ต้องหาแก๊งเรี่ยไรเงินทำบุญ

ตร.ชนะสงครามรวบยกแก๊ง ผู้ต้องหาแอบอ้างชื่อสำนักสงฆ์ จ.ราชบุรี หลอกเรี่ยไรเงินทำบุญทอดผ้าป่า ออกหากินทั่ว กทม. เบื้องต้น แจ้งข้อหาเป็นซ่องโจรเพื่อฉ้อโกงประชาชน 
       
       วันนี้ (22 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบก.น.1 พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ สว.สส.สน.ชนะสงคราม ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ จันทร์ทอง รอง สว.สส.สน.ชนะสงคราม และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม แถลงข่าวจับกุม แก๊งมิจฉาชีพหลอกเรี่ยไรเงินประชาชน ได้ผู้ต้องหา 13 ราย ประกอบด้วย น.ส.เนติรักษ์ สุดเสือ อายุ 28 ปี น.ส.กรรณิการ์ เจ็กคอย อายุ 24 ปี นางสุภามาศ จันทร์กระจ่าง อายุ 20 ปี น.ส.วัลลี ผมหอม อายุ 23 ปี นางกาญจนา พุทธา อายุ 29 ปี น.ส.วาสนา เชาวนะ อายุ 23 ปี นางอารีย์ อ่อนสกุล อายุ 43 ปี นายนิคม อ่อนสกุล อายุ 29 ปี นายสมพล สุดเสือ อายุ 34 ปี นายสุวรรณ แก้วโต อายุ 32 ปี นายสนธยา พงษ์พยับ อายุ 26 ปี นายมาโนช มิตรถวิลวัลย์ อายุ 30 ปี และ นายกฤษดา นิลมาก อายุ 24 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจังหวัดราชบุรี
       
       พร้อมของกลาง ใบเรี่ยไรทำบุญ ร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมเขาพระรัตนตรัยพรเทพนิมิต (พุน้ำหยด) จำนวน 2,075 ใบ ไม้เสียบธนบัตร จำนวน 1,100 อัน และธนบัตรฉบับละ 20 บาท จำนวน 2,600 บาท และรถกระบะยี่ห้อ โตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีเขียว ทะเบียน บบ 3104 นครปฐม
       
       พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลา 12.30 น.ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม ได้จับกุม นายนพพล แซ่จิว ซึ่งนำใบเรี่ยไรเงินทำบุญ มาเดินเร่ขอเรี่ยไรเงินจากประชาชน ตามห้องพักต่างๆ ย่านถนนสามเสน โดยหากห้องพักใดปิดประตูไว้ไม่มีคนอยู่ ผู้ต้องหาก็จะเปิดประตูเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ภายในห้องพัก โดยมีผู้เสียหายหลายรายมาชี้ตัวผู้ต้องหา และยืนยันทรัพย์สินที่ถูกขโมย 

   ต่อมา จากการสอบสวนขยายผลทราบว่า ยังมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหลายราย โดยมี น.ส.เนติรักษ์ สุดเสือ เป็นหัวหน้าขบวนการ และเป็นผู้จัดหาใบเรี่ยไรเงินมาใช้หลอกลวงประชาชน และ นายสมพล สุดเสือ จะเป็นคนขับรถกระบะมีหน้าที่ไปรับผู้ร่วมขบวนการตามจุดต่างๆ ในจ.ราชบุรี โดยจุดสุดท้ายที่จะไปรับคือ ที่บริเวณป้ายรถประจำทางหน้าห้างสรรพสินค้า บิ๊กซีบ้านโป่ง จ.ราชบุรี จึงวางแผนจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 13 ราย ขณะนั่งมากับรถกระบะคันดังกล่าว จากนั้นได้ตรวจสอบกระเป๋าผ้าสีน้ำตาลของน ส.เนติรักษ์ พบว่ามีใบเรี่ยไรทำบุญเป็นจำนวนมาก
       
       รอง ผบก.น.1 กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาแอบอ้างชื่อสำนักสงฆ์และทำตราปั๊มขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปให้ทางสำนักสงฆ์ ทั้งนี้ แก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้มักจะไปเรี่ยไรเงินประชาชนในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยจะเรี่ยไรเงินจากประชาชนทั่วพื้นที่กทม. โดยผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการจะได้าค่าจ้างจากน.ส.เนติรักษ์ รายละ 200 บาทต่อวันเท่านั้น ส่วนน.ส.เนติรักษ์ จะมีเงินเหลือหลังจากหักค่าจ้างแล้ว ประมาณ 3,000-4,000 บาท และก่อเหตุมาประมาณ 3-4 เดือน ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
       
       ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาบางรายเคยถูกตำรวจในหลายท้องที่จับกุมดำเนินคดี ข้อหากระทำผิดพ.ร.บ.เรี่ยไรเงิน ซึ่งมีโทษน้อย ปรับเพียง 200 บาท ทำให้ผู้ต้องหาไม่เข็ดหลาบ แต่ครั้งนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีในข้อหาที่หนักกว่าคือ ข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเป็นซ่องโจรเพื่อฉ้อโกงประชาชน อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท พร้อมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมแจ้งให้ประชาชนที่เคยถูกแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้ หลอกลวงเรี่ยไรเงินทำบุญให้มาชี้ตัวผู้ต้องหาได้ที่สน.ชนะสงคราม และสภ.บ้านโป่ง...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 22 เมษายน 2555 15:57 น.


สามีโหดหึงเมียเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องเพื่อนฟันยับ-ไม้หน้าสามทุบหัวดับ

                                          สภาพศพนางไหม อายุประมาณ 30 ปี ถูกสามีหึงโหดทำร้ายจนเสียชีวิต


หึงไม่เข้าท่า...สามีหนุ่มนั่งก๊งเหล้ากับเพื่อนร่วมงานจนเมา และแยกย้ายกันกลับ ก่อนไล่ให้ภรรยาไปอาบน้ำ แต่ภรรยาเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่ห้องพักคนงาน สามีเห็นเกิดอาการหึงหวง และมีปากเสียงกัน สามีคว้ามีดปังตอฟัน และใช้ไม้หน้าสามทุบหัวจนเสียชีวิต ก่อนขี่ จยย.หลบหนี จนท.ส่งชุดสืบตามล่าตัวมาดำเนินคดี
       
       วันนี้ (22 เม.ย.) เมื่อเวลา 00.30 น. พ.ต.ท.ทศพล หะรารักษ์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.บางพลี สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีหญิงสาวถูกทำร้ายเสียชีวิตที่บริเวณแคมป์พักคนงานก่อสร้างภายในซอยเอี่ยมสวัสดิ์ ถ.บางนา-ตราด ขาออก ม.6 ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยมูลนิธิป่อเต๊กตึ้ง
       
       ที่เกิดเหตุ พบศพหญิงสาวที่ทราบเพียงชื่อเล่นชื่อนางไหม อายุประมาณ 30 ปี นอนหงายจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่ที่ลานหน้าแคมป์ดังกล่าว ในสภาพใส่เสื้อยึดแขนสั้นสีดำ ใส่กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาล ที่บริเวณใบหน้าถูกทุบด้วยของแข็งจนใบหน้ายุบศีรษะแตก ที่แขนขวามีบาดแผลคล้ายถูกของมีคมฟันจนเป็นแผลฉกรรจ์ลึกถึงกระดูก ใกล้ที่เกิดเหตุ พบไม้หน้าสามยาวประมาณ 150 เซนติเมตร ด้านปลายเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 อัน ที่บริเวณปลายเท้าผู้ตายยังได้พบมีดปังตอทำครัวเปื้อนเลือดตกอยู่อีก 1 เล่ม จึงเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน ก่อนมอบศพให้มูลนิธินำส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวช ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายสัจพันธ์ เข็มพันธ์ อายุ 24 ปี บ้านเดิมอยู่จังหวัดเลย สามีผู้ตาย หลังก่อเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ 110 สีน้ำเงิน-ขาว ทะเบียนรถจำได้เพียงตัวเลข 98 ไม่ทราบหมวดอักษร จังหวัดสกลนครหลบหนีออกไปทางถนนบางนา-ตราด
       

                                         ไม้หน้าสามที่ตกในที่เกิดเหตุ

       จากการสอบสวน ทราบว่า ผู้ตายเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดสกลนคร ได้เพียง 2 วันพร้อมด้วยนายสัจพันธ์ เข็มพันธ์ อายุ 24 ปี ผู้เป็นสามีเพื่อมาทำงานซ่อมถนน จนเมื่อหัวค่ำของวันนี้หลังเลิกงาน ผู้ตายนั่งดื่มสุรากับสามี และเพื่อนร่วมงานอีก 3 คน จนกระทั่งดึก พรรคพวกที่นั่งดื่มด้วยกันได้แยกย้ายกันเข้าที่พัก เหลือเพียงผู้ตาย และสามีที่ยังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ และได้ยินเสียงสามีบอกให้นางไหมไปอาบน้ำ แต่ผู้ตายกลับเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนที่ห้องพักคนงานซึ่งอยู่ติดกัน ทำให้สามีเกิดอาการหึงหวง จึงเกิดมีปากเสียงกัน กระทั่งทำร้ายกันจนถึงชีวิตดังกล่าว
       
       เบื้องต้น เจ้าหน้าที่คาดว่าผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นสามีผู้ตายน่าจะเกิดอาการหึงหวงบวกกับความเมา ที่เห็นผู้ตายมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพักเพื่อนร่วมงาน จึงได้ทำร้ายผู้ตายจนเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนติดตามจับกุมนายสัจพันธ์ สามีหึงโหดรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 22 เมษายน 2555 16:36 น.

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รวบสาวใหญ่บังคับเด็กพม่าเร่ขายดอกไม้ตามผับดัง

                                         ตำรวจ ปคม.จับกุมนางมะโซ หรือมิสซู มูหะหมัด อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาบังคับเด็กเร่ขายดอกไม้ตามสถานบันเทิง


ตำรวจ ปคม.รวบสาวใหญ่บังคับเด็กพม่าเร่ขายดอกไม้ตามสถานบันเทิง หากขายไม่ได้จะทุบตี และให้อดอาหาร อ้างเด็กส่วนใหญ่เป็นญาติกัน ให้ค่าจ้างวันละ 20-30 บาท พร้อมส่งเงินให้ผู้ปกครองเด็กเดือนละ 2,000 บาท ปฏิเสธไม่ได้กักขังทำร้าย ขณะที่ ผบก.ปคม.เชื่อทำเป็นขบวนการ โดยเช่าเด็กทั้งพม่าและไทยมาจากนายหน้าอีกต่อหนึ่ง เร่งสืบขยายผลจับกุมต่อไป 
       

                                         นางมะโซ หรือมิสซู มูหะหมัด ปฏิเสธไม่เคยทำร้ายเด็ก

       วันนี้ (23 เม.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม. แถลงการจับกุม นางมะโซ หรือมิสซู มูหะหมัด อายุ 47 ปี พร้อมของกลางดอกกุหลาบ 10 ดอก โดยจับกุมได้ที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยพัฒนาการ 20 แยก10 แขวงสวนหลวง เขตคลองตัน กทม.
       

                                          นางมะโซ หรือมิสซู มูหะหมัด อ้างเด็กที่พามาขายดอกไม้ ส่วนใหญ่เป็นญาติกัน

       พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่มูลนิธิศุภนิมิตประเทศไทยและมูลนิธิกระจกเงา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของ ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 7 ปี สัญชาติพม่า ให้ประสานติดตามตัว ด.ช.เอ หลังถูกนางมะโซ ผู้ต้องหานำตัวไปบังคับใช้แรงงานขายดอกไม้ในเวลากลางคืนตามสถานบันเทิงย่าน พัฒนาการ เพชรบุรี ลาดพร้าว และสุขุมวิท โดยหากค่ำคืนใดขายไม่หมดจะถูกทุบตี และให้อดกินข้าว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ กก.1 สืบทราบว่า ด.ช.เอถูกนำตัวไปกักขังอยู่ที่บ้านเช่าดังกล่าว จึงนำกำลังเข้าจับกุม อย่างไรก็ตาม จากแนวทางสืบสวนเชื่อว่าทำเป็นขบวนการ ซึ่งจะเช่าเด็กทั้งพม่าและไทยมาจากนายหน้าอีกต่อหนึ่ง โดยจะเร่งสืบสวนขยายผลจับกุมต่อไป
       จากการสอบสวนนางมะโซให้การรับสารภาพว่า ส่วนใหญ่เด็กที่มาขายดอกไม้จะเป็นญาติกัน ซึ่งมีเด็กในบ้าน 4-5 คน ขายดอกไม้ทำรายได้วันละ 300-500 บาท โดยแบ่งเงินให้เด็กวันละ 20-30 บาท และส่งเงินให้พ่อแม่เด็กอีกเดือนละ 2,000 บาท แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายเด็ก
       

                                          เจ้าหน้าที่ควบคุมนางมะโซ หรือมิสซู มูหะหมัด ไปดำเนินคดี 
      

 ทั้งนี้ เบื้องต้นแจ้งข้อหาค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์มิชอบจากการใช้แรงงานเด็ก พรากผู้เยาว์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีต่อไป...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 23 เมษายน 2555 12:20 น.


จับแก๊งโจรขี่ จยย.ตระเวนทุบกระจกรถฉกทรัพย์สิน

                                          จนท.นำตัวผู้ต้องมาแถลงผลการจับกุม

สืบวังทองหลางตามรวบ 3 ผู้ต้องหาแก๊งตระเวนทุบกระจกพร้อมยึดของกลาง จยย.ที่ก่อเหตุ โน้ตบุ๊ก รวม 12 รายการ พบประวัติผู้ต้องหาเคยก่อเหตุมาแล้วในหลายพื้นที่ โดยหลังจากโจรกรรมทรัพย์สินผู้ต้องหาจะนำไปขายต่อที่ห้างบิ๊กซีหัวหมาก จนท.จึงนำกำลังไปซุ่มและจับได้ตัวทั้งหมด
       
       วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี ผบก.น.4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัว นายฐาปกรณ์ หรือเต้ กุลชฏาธร อายุ 23 ปี นายวีรศักดิ์ หรือเกมส์ หุตจิตต์ อายุ 20 ปี และนายชัยยันต์ หรือเอ๋ จันทะคุณ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาลักทรัพย์ พร้อมของกลางจักรยานยนต์ 2 คัน คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง ไขควงปากแบน ไฟฉายสีดำ และอื่นๆ รวม 12 รายการ สามารถจับกุมได้ที่ลานจอดรถบิ๊กซี สาขาหัวหมาก
       
       พล.ต.ท.วินัยเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลาง ได้สืบสวนทราบว่า นายเต้เป็นผู้ก่อเหตุทุบกระจกรถและโจรกรรมทรัพย์สินตามสถานที่ต่างๆ เมื่อได้ทรัพย์สินมาก็จะนำไปขายที่ร้านรับซื้อขายโทรศัพท์ ที่ชั้นจี บิ๊กซีหัวหมาก ชุดสืบสวนจึงนำกำลังไปซุ่มอยู่บริเวณลานจอดรถ พบผู้ต้องหาทั้ง 3 คนนำทรัพย์สินมาจำหน่าย เจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบและจับกุมตัว พบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ได้จากการขโมยมา จากการสอบสวนพบว่าเคยก่อเหตุมาแล้วหลายพื้นที่ทั้ง สน.วังทองหลาง สน.โชคชัย สน.ลาดพร้าว และ สน.ใกล้เคียงมาหลายครั้ง โดยนายเต้อยู่ระหว่างประกันตัวของ สน.มักกะสัน เมื่อ 12 มิ.ย. 2554 และเคยถูกจับคดีทุบรถที่ สน.คันนายาว และ สน.โคกคราม ปี 2550 โดยมีหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 28 พ.ย. 2554 ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และนายวีรศักดิ์อยู่ระหว่างประกันตัว สน.พหลโยธิน เมื่อ 28 ธ.ค.54 และถูกจับครอบครองยาเสพติด สน.หัวหมาก ปี 2552
       
                                          ของกลางที่ยึดได้จำนวนมาก


       นอกจากนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาอีก 2 ราย โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลาง ร่วมกันจับกุมตัว นายมานะ สารฤทธิ์ อายุ 33 ปี และนายณรงค์กร แซ่หลี อายุ 26 ปี พร้อมของกลางเป็นยาบ้า 5,010 เม็ด ยาไอซ์ 200 กรัม โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และเงินสดจำนวน 18,700 บาท จับกุมได้บริเวณหน้าตึกจุลศักดิ์คอนโดมิเนียม ซอยลาดพร้าว 58 แขวง-เขตวังทองหลาง กทม.โดยทั้งสองมีลักษณะพิรุธ ต่อมาตรวจค้นพบยาบ้า 10 เม็ด และสอบถามพบว่ามียาเสพติดในห้องพักจำนวนหนึ่ง ไปตรวจสอบพบยาบ้า 5,000 เม็ด จึงควบคุมตัว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า, ยาไอซ์) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลางดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 23 เมษายน 2555 13:50 น.


จับกะเทยค้ากามเด็กสาวคารีสอร์ตดัง



ตำรวจ ปคม.ล่อซื้อแล้วตะครุบสาวประเภทสองค้าประเวณีเด็กสาวคารีสอร์ตดัง เจ้าตัวยังปากแข็งไม่มีส่วนรู้เห็นในการค้ากาม อ้างกำลังศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย รู้จักกับเด็กทั้งสองมาก่อนในสถานบันเทิง โดยวันเกิดเหตุถูกวานให้ช่วยขับ จยย.มาส่งที่รีสอร์ต จนถูกควบคุมตัวดำเนินคดี
       
       วันนี้ (24 เม.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 10.00.น. พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบก.ปคม. พ.ต.อ.สิทธิชัย ลีลาสวัสดิ์ ผกก.5 บก.ปคม. พ.ต.ท.คมสันต์ กันหา สว.กก.5 บก.ปคม. แถลงการจับกุม นายกัมปนาท สนธิ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/3 หมู่ที่ 1 ต.เขาน้อย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมของกลางเงินสดที่ใช้ในการล่อซื้อ จำนวน 3,000 บาท จักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่นเคเอชอาร์ สีดำ 1 คัน โดยจับกุมตัวได้ที่เดอะรีสอร์ตปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
       

                                            นายกัมปนาท สนธิ ปฎิเสธอ้างแค่ถูกวานให้ขับ จยย. มาส่งสองเด็กสาวหน้ารีสอร์ท ปัดไม่รู้ไม่เห็นค้าประเวณี

       พ.ต.อ.ประคัลภ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สืบทราบว่านายกัมปนาทซึ่งเป็นสาวประเภทสอง มีพฤติกรรมเป็นเอเยนต์ค้าประเวณีเด็ก จึงให้สายลับทำการล่อซื้อเด็กสาวจำนวน 2 คน โดยคิดค่าบริการคนละ 1,500 บาท รวม 3,000 บาท ก่อนนัดหมายเจอตัวกันที่รีสอร์ตดังกล่าว ซึ่งเมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหานำตัว ด.ญ.เอ อายุ 14 ปี และ น.ส.บี อายุ 24 ปี (ทั้งสองเป็นนามสมมติ) มาส่งที่ห้องเลขที่ 11 จึงแสดงตัวจับกุม
       

                                         ตำรวจ ปคม. แถลงจับกุมจับกุมนายกัมปนาท สนธิ อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาค้ากามเด็กสาว

       จากการสอบสวนนายกัมปนาทให้การปฏิเสธว่าเพิ่งเรียนจบ ปวส. และกำลังเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ได้รู้จักกับทั้งสองที่ผับแห่งหนึ่งเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้ว ซึ่งวันเกิดเหตุทั้งสองให้ตนช่วยขับขี่จักรยานยนต์มาส่งที่รีสอร์ตดังกล่าว โดยจะจ่ายค่าน้ำมันให้ 500 บาท เมื่อมาถึงจึงถูกจับกุมตัวดังกล่าว ซึ่งขอให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่มีส่วนรู้เห็นในการค้าประเวณีแต่อย่างใด
       


       ทั้งนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก และเป็นธุระจัดหา ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ดำเนินคดีต่อไป...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 24 เมษายน 2555 12:34 น.


รวบหม่องโหดฆ่าเปลือยสาวหมกห้องน้ำ อ้างยัวะไม่ให้ยืมเงิน

                                        เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายมนต์มอ แก้วแสงคำ ผู้ต้องหาฆ่าคนตายมาแถลงข่าว

รวบโจ๋พม่าฆ่าเปลือยสาวหมกห้องน้ำภายในห้องเช่าย่านนนทบุรี เผยโกรธแค้นที่ผู้ตายไม่ยอมให้ยืมเงิน แถมยังถูกดุด่าจึงก่อเหตุ รับบีบคอแล้วเหวี่ยงตัวฟาดผู้ตายกับพื้นห้องน้ำ คว้ากางเกงในอุดปากไม่ให้ส่งเสียงร้อง จากนั้นค้นห้องพักผู้ตายได้เงินไป 650 บาทกับมือถือ ก่อนหลบหนีไปทำงานโรงงานตุ๊กตาที่ราชบุรีจนถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดี
       วันนี้ (24 เม.ย.) เวลา 12.30 น. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ทวิชชาติ พละศักดิ์ ผบก.สส.ภ.1 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบก.สส.ภ.1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ บก.สส.ภ.1 แถลงการจับกุมนายมนต์มอ แก้วแสงคำ อายุ 22 ปี สัญชาติพม่า ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 216/2555 ลงวันที่ 23 เม.ย. 55 ข้อหาฆ่าผู้อื่น โดยสามารถตามจับกุมได้ที่โรงงานตุ๊กตา เลขที่ 1 หมู่บ้านกำแพงเหนือ หมู่ 8 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
       พล.ต.ต.ปริญญาเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา นายมนต์มอ ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับ นางว้า (ผู้เสียชีวิต) เรื่องขอยืมเงิน ผู้ตายไม่ให้ยืมเงินแถมยังด่าว่า จนทำให้นายมนต์มอเกิดความโกรธแค้น จากนั้นผู้ตายได้เข้าไปอาบน้ำภายในห้องเช่าสุขศิริ เลขที่ 44/8 หมู่ 5 ชั้น 3 ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ต่อมานายมนต์มอ นำแม่กุญแจไปล็อกที่หน้าประตูห้องน้ำด้านนอก และปีนเข้าทางด้านข้างของห้องน้ำ พร้อมเข้าไปทำร้ายร่างกายแล้วใช้มือบีบคอผู้ตาย ซึ่งเมื่อผู้ตายส่งเสียงร้อง จึงได้เหวี่ยงตัวผู้ตายฟาดกับพื้นห้องน้ำ จากนั้นใช้กางเกงชั้นในที่แขวนอยู่ภายในห้องน้ำอุดปากผู้ตาย เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องและบีบคอจนผู้ตายแน่นิ่งไม่ส่งเสียง นอกจากนี้ยังใช้กางเกงชั้นในที่แขวนอยู่ในห้องน้ำมัดมือผู้ตายเอาไว้ แล้วปีนหนีออกมาจากห้องน้ำ ต่อมาผู้ต้องหาได้เข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินในห้องพักของผู้ตาย โดยได้เงินสดจำนวน 650 บาท และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง แล้วหลบหนีไปทำงานที่โรงงานตุ๊กตาดังกล่าว จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจนสามารถจับกุมตัวไว้ได้
       

                                               นายมนต์มอ แก้วแสงคำ ผู้ต้องหา อ้างโกรธแค้นที่ผู้ตายไม่ให้ยืมเงินและถูกดุด่า เลยต้องฆ่าให้ตาย

       นายมนต์มอกล่าวว่า ตนได้ขอยืมเงินจากผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ให้ยืม จึงโกรธแค้นและทำร้ายร่างกาย โดยการบีบคอแล้วเหวี่ยงตัวผู้ตายฟาดกับพื้นห้องน้ำจนแน่นิ่ง จากนั้นได้รื้อค้นห้องพักของผู้ตาย และหนีไปที่ จ.ราชบุรี จนกระทั่งมาถูกจับกุม สำหรับเงินสดจำนวน 650 บาท ตนนำไปใช้หมดแล้วในระหว่างการหลบหนี ส่วนโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ได้โยนทิ้งระหว่างหนีเช่นเดียวกัน
       
       ทั้งนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :24 เมษายน 2555 15:29 น.

จำคุกปีครึ่ง หนุ่มโพสต์ภาพร่วมรักกับอดีตแฟนสาวว่อนเน็ต


จำคุก 3 ปีหนุ่มกรุงเก่าจอมแสบปล่อยรูปมีเพศสัมพันธ์กับอดีตแฟนสาวว่อนเน็ต รับสารภาพเหลือติดคุกปีครึ่ง ปรับเกือบแสน ศาลระบุทำสังคมเสื่อมเสีย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงอา
       
       วันนี้ (24 เม.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดี ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายประเสริฐ เบญจวรเดชกุล อายุ 33 ปี ประกอบอาชีพส่วนตัว ชาว จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นจำเลยในความผิดฐานนำเข้า, เผยแพร่ ส่งต่อ ภาพอันมีลักษณะลามกอนาจารเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
       
       โดยโจทก์ฟ้อง ระบุความผิดสรุปว่าเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2554 เวลากลางคืน จำเลยนำภาพการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างจำเลย กับ น.ส.เอ (นามสมมติ) อดีตแฟนสาว ผู้เสียหาย มาลงเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต และเว็บไซต์ บางแพรก-ลีก ดอทคอม ที่จำเลยเป็นผู้ดูแลอยู่ ซึ่งทำให้อดีตแฟนสาวได้รับความเสียหาย นอกจากนี้จำเลยยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน โดยไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเหตุเกิดที่ ต.บ้านแพรก อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา และที่อื่นๆ เกี่ยวพันกัน ทั้งนี้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ให้การรับสารภาพชั้นศาล
       
       ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(4), 27 เป็นความผิดหลายกรรม ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ 3 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานปรับ 50,000 บาท ปรับวันละ 300 บาท จำนวน 353 วัน รวมเป็นเงิน 105,900 บาท จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 77,950 บาท
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์การกระทำผิดประกอบรายงานการสืบเสาะสถานภาพครอบครัว การศึกษา และอื่นๆ แล้ว นับเป็นการกระทำให้สังคมเสื่อมเสีย ทำให้ผู้เสียหายเดือดร้อน เพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แม้จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายแล้ว ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษ...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 24 เมษายน 2555 15:42 น.

จับสองผัวเมียตุ๋นเหยื่อไปทำงานเมืองนอก สูญกว่า 4 ล้าน

                                           ตำรวจ ปคม. แถลงจับกุมนายวิฑูรย์ สงวนธรรม และน.ส.วิมล จุลรัตน์พันธ์ สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาหลอกลวงแรงงานไปนอก

รวบสองสามีภรรยา หลอกลวงคนงานไปสร้างสนามบินโอมาน เหยื่อหลงเชื่อเกือบร้อยคน สูญเงินกว่า 4 ล้าน ขณะที่ผู้ต้องหาปฏิเสธ อ้างถูกแอบอ้างชื่อไปต้มตุ๋นชาวบ้าน 
       
       วันนี้ (25 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.เชิด ชูเวท รองผบช.ก.ร่วมกับพล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รองผบก.ปคม.และ พ.ต.อ.ยุทธภูมิ ปั้นลายนาค ผกก.2 บก.ปคม.แถลงการจับกุม นายวิฑูรย์ สงวนธรรม อายุ 45 ปี และ น.ส.วิมล จุลรัตน์พันธ์ อายุ 35 ปี สองสามีภรรยา ในข้อหาร่วมกันจัดหางาน เพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต และหลอกลวงได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สิน โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ลานอเนกประสงค์ อ.เมือง จ.นนทบุรี
       

       พล.ต.ต.เชิดกล่าวว่า สืบเนื่องเมื่อปลายปี 2551 ผู้ต้องหาเปิดบริษัท บีอาร์ ไทย-ทีม จำกัด รับสมัครคนงานที่ จ.หนองคาย และ จ.เชียงราย ให้ไปทำงานก่อสร้างสนามบินที่ประเทศโอมาน จนทำให้มีคนงานหลงเชื่อเป็นจำนวน 84 ราย โดยแต่ละรายเสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ต้องหาคนละ 5-6 หมื่นบาท รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ซึ่งเมื่อถึงเวลานัดแรงงานก็ไม่ได้ไป ซึ่งทำให้กลุ่มผู้เสียหายเดินทางไปร้องทุกข์ต่อกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจากการตรวจสอบผู้ต้องหาทั้ง 2 มีหมายจับศาลอาญา จ.เชียงราย และ จ.ขอนแก่น ในข้อหาเดียวกัน ซึ่งคาดว่า จะมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้มาแจ้งความดำเนินคดี



                                         นายวิฑูรย์ สงวนธรรม ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงแรงงาน แต่ถูกลูกน้องแอบอ้างชื่อแล้วโยนความผิดให้ตนเอง

       จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การปฏิเสธ โดย นายวิฑูรย์ อ้างว่า ทำงานอยู่ที่บริษัท บีอาร์ ไทย-ทีม จำกัด ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดการ ซึ่งบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งตนไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่า ลูกน้องที่อยู่บริษัทเดียวกัน ได้นำชื่อไปแอบอ้างหลอกลวงชาวบ้าน แล้วโยนความผิดให้กับตัวเองและภรรยา จากนั้นตำรวจนำผู้ต้องหาทั้งสองคนส่งตัวดำเนินคดีต่อไป...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 25 เมษายน 2555 14:44 น.


คุก 1 ปี แม่เล้าอุซเบฯ ลวงเหยื่อค้ากามพัทยา

                                                    ภาพจาก Internet

จำคุก 1 ปี สาวใหญ่อุซเบฯ หลอกเพื่อนลูกสาวมาค้ากามพัทยา ศาลชี้อ้างเหยื่อสมัครใจมาฟังไม่ขึ้น 
       วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องนางเฟรูซ่า ยาคูโบว่า (MRS.FERUZA YAKUBOVA) อายุ 47 ปี สัญชาติ
       อุซเบกิสถาน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ค้าประเวณี เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น
        คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่าเมื่อระหว่างปี 2553-19 พ.ค. 2554 ต่อเนื่องกัน จำเลยบังอาจเป็นธุระจัดหา ชักพาไป ล่อไปนางโซอีโรว่า กุดซาน ตูราเยารูนา อายุ 24 ปี ผู้เสียหาย สัญชาติอุซเบกิสถาน จากประเทศอุซเบกิสถาน
       ให้มาทำงานที่ร้านอาหารในประเทศไทย แลกค่าจ้างเดือนละ 500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15,000 บาท
       โดยจำเลยได้จัดทำวีซ่า และออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วจำเลยได้ออกอุบายหลอกลวงให้ผู้เสียหายมาค้าประเวณีที่เมืองพัทยา จำเลยให้การปฏิเสธ อ้างว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเพื่อนของบุตรสาวจำเลยเดินทางมาค้าประเวณีเองโดยสมัครใจ
       
       ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยล่อลวงผู้เสียหายกับพวกรวม 4 คน เดินทางมาค้าประเวณี โดยออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ก่อน ซึ่งมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนข้ออ้างจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาโทษตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2531 มาตรา 9 จำคุก 1 ปี .




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 26 เมษายน 2555 15:20 น.

รวบโจ๋ 19 มือยิงพ่อค้าเสื้อดับคาแจ๊ซ อ้างฉุนขับรถปาดหน้า...

                                         บรรดาญาติผู้เสียที่รู้ข่าวต่างมารอดูหน้าคนร้ายที่ก่อเหตุ

   ตามรวบถึงบุรีรัมย์ โจ๋วัย 19 ยิงพ่อค้าเสื้อสวนจตุจักรดับคารถแจ๊ซ ตร.แกะรอยจากกล้องวงจรปิด ก่อนขอหมายจับค้นบ้านจนพบอาวุธปืนและ จยย.ที่ใช้ก่อเหตุ สารภาพอ้างผู้ตายขับรถปาดหน้าจนยัวะชักปืนยิงใส่รถ 1 นัดแล้วหลบหนี ก่อนมาถูกตามจับตัวได้ พบประวัติเพิ่งถูกปล่อยตัวจากบ้านเมตตามา 4 เดือนแล้วมาก่อเหตุซ้ำ
       
       วันนี้ (1 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พล.ต.ต.คำรณวิทย ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.ธวัชชัย นาคฤทธิ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัว นายภูมิรพี หรือตั้ม ไม้จันทร์ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/36 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 15 ม.8 ต.นิคม อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ โดยมีญาติและเพื่อนของผู้ตายกว่า 30 คนมารอดูคนร้ายพร้อมมอบกระเช้าดอกไม้ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
       

                                         จนท.คุมตัวนายภูมิรพี หรือตั้ม ไม้จันทร์ อายุ 19 ปี มาแถลงผลการจับกุม

       สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา เวลา 03.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ดได้รับแจ้งเหตุคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนายอธิศักดิ์ หรือแบงค์ อริยะแสนสุข อายุ 29 ปี ผู้จัดการฝ่ายขายบริษัท ไทยคอมเนทเวิร์ค จำกัด เสียชีวิตภายในรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ซ เหตุเกิดที่ ม.สีไชยทอง ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด หลังจากผู้ตายขับรถไปส่งเพื่อนที่หมู่บ้านเดอะลูป ซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุ
       
       จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า คนร้ายใช้จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ เป็นพาหนะโดยหลังก่อเหตุคนร้ายได้ขับขี่จักรยานยนต์วนกลับเข้าไปภายในบ้านเลขที่ 188/55 ม.7 หมู่บ้านสี่ไชยทองอีกครั้งซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าค้นบ้านหลังดังกล่าวจนสามารถตรวจยึดอาวุธปืนขนาด. 38 ที่ใช้ก่อเหตุและจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีดำ-แดง ทะเบียน ลงว 833 กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของนายภูมิรพี หรือตั้ม คนร้ายที่ก่อเหตุแต่คนร้ายไหวตัวหลบหนีไปก่อนแล้ว
       
       เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงทำการสืบสวนต่อจนทราบว่า นายภูมิรพี หรือตั้ม ได้หลบหนีไปกบดานที่บ้านญาติใน อ.สะตึก จ.บุรีรัมย์ จึงทำการติดตามตัวพร้อมประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สะตึก จนสามารถจับกุมตัวได้ในที่สุด
       


       สอบสวนนายภูมิรพี หรือตั้ม ไม้จันทร์ ให้การว่า ตนเองมีอาชีพเป็นพนักงานขายของร้านสะดวกซื้อภายในซอยที่เกิดเหตุ โดยวันเกิดเหตุได้ยืมจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาจากเพื่อนเพื่อออกไปทำธุระและได้พกอาวุธปืนติดตัวไปด้วย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้มีการขับรถปาดหน้าไปมากับรถของผู้ตายจนเกิดความโมโห จึงชักอาวุธปืนยิงใส่รถของผู้ตายไปจำนวน 1 นัด จนรถผู้ตายเสียหลักชนเข้ากับเสาไฟฟ้า แล้วรีบขี่รถหลบหนีก่อนจะย้อนกลับมาหมู่บ้านที่เกิดเหตุอีกครั้งเพื่อเข้าบ้าน แต่เนื่องจากมีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคนจึงรีบหลบหนีไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด ก่อนมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ในที่สุด
       
       ด้าน น.ส.ฉัตรวรินทร์ อริยะแสนสุข อายุ 19 ปี น้องสาวผู้ตาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำตาว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ชาย เพราะพี่ชายเป็นเสาหลักของครอบครัวหลังจากพ่อเสียชีวิตลงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยพี่ชายทำงานทุกอย่างทั้งงานบริษัทและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ยังออกไปขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัดสวนจตุจักรเพื่อนำเงินมาส่งเสียที่บ้าน และส่งตนเองเรียนหนังสืออีกด้วย หลังจากนี้ตนเองกับแม่ยังไม่รู้จะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป
       
       สำหรับ นายภูมิรพี หรือตั้ม ไม้จันทร์ นั้น จากการสอบประวัติพบว่าเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากสถานพินิจบ้านเมตตามาได้เพียง 4 เดือนในข้อหาชิงทรัพย์รถยนต์ที่ จ.นครราชสีมา ก่อนกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 1 พฤษภาคม 2555 14:04 น.