This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จับเทคโนดุสิตฟันคอเด็กเทคโนปทุมดับ

                                            นายพิเชษฐ์ สุขประสงค์ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาถูกคุมตัวมาสอบและดำเนินคดี


กองปราบตามรวบเด็กเทคโนดุสิตร่วมกับพวกกว่า 10 คนรุมทำร้ายใช้มีดฟันคอ-ลำตัว เด็กเทคโนปทุมฯ ดับ 1 เจ็บ 1 ก่อนหนีไปทำงานและถูกตามจับกุม เจ้าตัวปฏิเสธ อ้างวันเกิดเหตุอยู่บนรถเมล์ไม่ได้ลงไปร่วมตะลุมบอน
       วันนี้ (15 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.นิรันดร์ นามสุวรรณ ผกก.2 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.ท.โสจิรัตน์ โลหะเนตร สว.กก.2 บก.ป. นำกำลังจับกุม นายพิเชษฐ์ สุขประสงค์ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/9 ซอยพหลโยธิน 52 แยก 13 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. นักเรียนช่างไฟฟ้ากำลัง โรงเรียนเทคโนโลยีดุสิต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดที่ 178/2554 ลงวันที่ 22 ก.พ. 2554 คดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่า
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2554 กลุ่มผู้ต้องหากับพวกกว่า 10 คน ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีดุสิต วิ่งไล่ทำร้ายนักเรียนโรงเรียนเทคโนปทุมธานี จนวิ่งหนีเข้าภายในร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่ จ.ปทุมธานี แต่กลุ่ผู้ต้องหาไล่ตามเข้าไปในร้านก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่และใช้มีดฟันคอและตามลำตัวคู่อริจนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.2 บก.ป.สืบทราบว่า นายพิเชษฐ์ ได้มาทำงานฝ่ายรับสินค้าอยู่ที่ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ สาขาประชาชื่น จึงจับกุมมาสอบสวน
       นายพิเชษฐ์ให้การปฏิเสธ บอกว่าวันเกิดเหตุได้ขึ้นรถเมล์ไปกับเพื่อนในกลุ่มประมาณ 15 คนไปจนสุดสายที่คลองหลวง ระหว่างนั้นได้เจอนักเรียนเทคโนโลยีปทุมธานี ซึ่งเป็นคู่อริต่างสถาบันประมาณ 10 คน เพื่อนๆจึงชักชวนกันลงไปตะลุมบอน แต่ตนไม่ได้ลงไป จากนั้นก็นั่งรถกลับบ้านจนมาทราบในวันรุ่งขึ้นว่ามีคนตาย หลังจากเกิดเหตุก็ยังไปเรียนหนังสือจนจบ ปวช.3 และทำงานกระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ดำเนินคดีต่อไป...






ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :15 พฤษภาคม 2555 15:16 น.




ฉาวโฉ่...ผกก.บงการปล้นรถขนเงิน-สั่งอัปเปหิทันที


ผกก.สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ถูกศาลออกหมายจับ พร้อม ส.ต.อ.ลูกน้อง ฐานบงการปล้นรถขนเงินของแบงก์กสิกรไทย โดยมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน รอง ผบ.ตร.สั่งให้ออกจากราชการทันที พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เจ้าตัวติดต่อขอมอบตัวสู้คดีแล้ว
       วันนี้ (15 พ.ค.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดสิงห์บุรี อนุมัติออกหมายจับ พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ ผู้กำกับการ สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร และ ส.ต.อ.นารายณ์ ทิพย์ปรีชาธร สังกัดกองกำกับการสืบสวนภูธรนครสวรรค์ หลายข้อหาหนัก เช่น ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน ใช้อาวุธปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายโดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันสมควร
      การขออนุมัตติศาลออกหมายจับดังกล่าว สืบเนื่องจากการสืบสวนพบว่า พ.ต.อ.พิจิตร เป็นผู้บงการก่อเหตุปล้นรถขนเงินของธนาคารกสิกรไทย สาขาอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมี ส.ต.อ.นารายณ์ทำหน้าที่จัดหาปืนอาก้าให้กับคนร้าย โดยได้เงินประมาณ 4 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของ พ.ต.อ.พิจิตร พบว่ามีการติดต่อกับกลุ่มคนร้ายในวันเกิดเหตุ และนำรถยนต์ของตนเองมาจอดบริเวณธนาคาร ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการออกหมายจับ
       ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ล่าสุด พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.ในฐานะ รรท.ผบ.ตร.ได้สั่งการไปยัง พล.ต.ท.วันชัย ถนัดกิจ ผบช.ภ.6 ให้สั่งการให้ พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ ผกก.สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร และส.ต.อ.นารายณ์ ทิพย์ปรีชาธร ผบ.หมู่งานสืบสวน กก.สส.ภ.จ.นครสวรรค์ ที่พัวพันกับคดีดังกล่าว ออกจากราชการไว้ก่อน โดยให้มีผลทันที ขณะเดียวกัน ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยมี พ.ต.อ.ประวิทย์ เจียมตระกูล รอง ผบก.ภ.จ.กำแพงเพชร เป็นประธาน พร้อมให้ พล.ต.ต.ศิรินทร์ ผดุงชีวิตร์ รอง ผบช.ภ.6 ลงไปกำกับดูแลการสืบสวนอย่างเคร่งครัด
       พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีภาพถ่ายของ พ.ต.อ.พิจิตร ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งรอง ผกก.ปป.สภ.ขาณุวรลักษ์บุรี จ.กำแพงเพชร ปรากฏอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ซึ่ง ส.ต.อ.ณารายณ์ได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้แล้ว ส่วน พ.ต.อ.พิจิตร ทราบว่ากำลังจะเข้ามอบตัว
       “คดีนี้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ความสำคัญ ซึ่งหากพบตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะไม่ปล่อยไว้ ขณะเดียวกัน เมื่อทำการสืบสวนข้อเท็จจริงหากพบมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องอีกก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด” โฆษก ตร.กล่าว
       พล.ต.ต.ปิยะกล่าวด้วยว่า นอกจากการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อตำรวจทั้ง 2 นาย แล้ว พล.ต.อ.ปานศิริ ได้สั่งการให้มีการดำเนินการเอาผิดต่อผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจทั้ง 2 นาย ตามคำสั่ง ตร.ที่ 1212/2537 อีกด้วย
       ด้าน พล.ต.ต.ประเสริฐ กาฬรัตน์ ผบก.กำแพงเพชร ได้รับการประสานจาก พล.ต.ต.โกศล บัวประเสริฐ ผบก.ภ.จว.สิงห์บุรี ในการติดตามคดีดังกล่าว และแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง ซึ่งได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่พร้อมทั้งสั่งการให้ พ.ต.อ.พิจิตร ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งได้รับแจ้งจาก พ.ต.อ.พิจิตร ว่าจะเดินทางมามอบตัวในเวลา 14.00 น.วันนี้ (15 พ.ค.) เพื่อต่อสู้คดีดังกล่าว
        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2555 เวลาประมาณ 10.30 น. โดย พ.ต.ท.นิสิต วรณุสิต พนักงานสอบสวน (สบ 2) สภ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี รับแจ้งมีคนร้ายใช้ปืนสงครามยิงถล่มรถขนเงินธนาคารกสิกรไทย บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาอินทร์บุรี เลขที่ 193/2 หมู่ที่ 6 ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ขณะพนักงานขนถุงเงินลงมาจากธนาคารเพื่อจะนำมาเก็บไว้ในรถ จึงนำกำลังไปตรวจสอบ
         ในที่เกิดเหตุพบนายธเนศ วรยาโณ อายุ 35 ปี พนักงานขนเงินธนาคารกสิกรไทย ถูกยิงเข้าที่ขาขวา 1 นัด อาการสาหัส ถูกช่วยเหลือนำส่ง รพ.อินทร์บุรี ส่วนที่พื้นพบปลอกกระสุนปืนอาก้าตกอยู่กลางถนน 5 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ มีคนร้าย 4 คน ใช้อาวุธปืนสงครามบุกจู่โจมเข้ายิงใส่พนักงานขนเงินลจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นได้หยิบถุงใส่เงิน ภายในมีเงินสด 4 ล้าน 1 แสนบาท หลบหนีตามถนนสายเอเชียมุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ และเจ้าหน้าที่พยายามขับรถไล่ติดตามแต่ไร้วี่แวว จนกระทั่ง วันนี้ (15 พ.ค.) จึงมีการออกหมายจับนายตำรวจทั้ง 2 นายดังกล่าว
          พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 40 โดยก่อนหน้านี้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันกับ สภ.ไทรงาม มาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกราวเดือน เม.ย. 2554 พ.ต.อ.เกริกฤทธิ์ นิยมเสริม ดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.ไทรงาม ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่หน้าบ้านพักใน จ.นครสวรรค์ ถัดมาเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทวี แสงทอง อายุ 50 ปี สว.สส.สภ.ไทรงาม ผูกคอตายกับขื่อศาลาข้างบ้าน จนกระทั่งเกิดเรื่องถึง ผกก.สภ.ไทรงามคนปัจจุบันอีกครั้ง...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :15 พฤษภาคม 2555 13:58 น.


จับแก๊งเขมรตระเวนพาเด็กขอทาน


ตำรวจจับกุมชาวเขมร คุมเด็กกัมพูชาอีก 8 คน ตระเวนขอทานตามสถานที่ต่างๆ ทั้งพัทยาและ กทม. 
       
       วันนี้ (15 พ.ค.) เวลา 13.00 น. พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทรวรลักษณ์ ผบก.สปพ. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณภัทร จุลละบุษปะ พ.ต.อ.กัมปนาท โสภโณดร พ.ต.อ.วุฒิวงศ์ มงคลนาวิน พ.ต.อ.สุมิตร คุณานุคุณ พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง พ.ต.อ.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบก.สปพ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ บก.สปพ. ร่วมแถลงการจับกุม นางนี อายุ 44 ปี นางดา อายุ 27 ปี นายเตี้ยอายุ 50 ปี ทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา พร้อมด้วยเด็กสัญชาติกัมพูชาจำนวน 8 คน สามารถจับกุมได้ทั้งหมดที่ หน้าบริษัท ทิพฟา ไอซีดี จำกัด ถ.ร่มเกล้า แขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง กทม.
       
       พ.ต.อ.สุมิตรกล่าวว่า สืบเนื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ บก.สปพ. สืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมนำเด็กสัญชาติกัมพูชาไปตระเวนขอทานตามสถานที่ต่างๆ เช่น พัทยา ตลาดนัดต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และสถานที่ที่มีการจัดงานรื่นเริงในเขตกรุงเทพฯ ก่อนที่จะมารับกลับในช่วงเย็น และนำเงินที่ได้จากการขอทานของเด็กมาใช้จ่ายกัน โดยทั้งหมดอาศัยอยู่ร่วมกัน
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวส่งดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศต่อไป...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 
15 พฤษภาคม 2555 16:40 น.



รวบแก๊งตีนแมวตระเวนงัดบ้านฉกเบนซ์-เครื่องเพชร ร่วม 10 ล้าน

                                          รถเบนซ์ที่แก๊งคนร้ายลักมาจากบ้านผู้เสียหาย

   ตร.ประเวศรวบแก๊งตีนแมว ตระเวนงัดลักทรัพย์ตามหมู่บ้าน หลังเข้าไปรื้อค้นเอาทรัพย์สินภายในหมู่บ้านนุศาสิริ ย่านกาญจนาภิเษก 22 แล้วฉกเบนซ์ขับหลบหนีไปด้วย ตร.ตามแกะรอยจนพบแก๊งผู้ต้องหาในห้างเซ็นทรัลเมืองพัทยากลาง ก่อนคุมตัวมาสอบและตามยึดทรัพย์สินที่ลักทรัพย์คืนได้ 23 รายการ รวมมูลค่า 10 ล้านบาท สารภาพก่อเหตุมานับครั้งไม่ถ้วน โดยจะนั่งแท็กซี่ตระเวนเข้าไปดูตามหมู่บ้าน หากพบบ้านไหนไม่มีคนอยู่ก็จะเข้าไปงัดแงะลักทรัพย์ทันที เผยเฉพาะหัวหน้าแก๊งมีหมายจับติดตัวถึง 8 หมาย ส่วนลูกน้องก็ไม่ต่างทั้งคดีจำหน่ายยาบ้า-ลักทรัพย์ปล้นทรัพย์
        วันนี้ (14 พ.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.สมศักดิ์ มงคลคุณากร และ พ.ต.ท.เดโช โสสุวรรณากุล สว.สส.สน.ประเวศ ว่า เมื่อเวลา 12.30 น.ของวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ประเวศ เข้าจับกุมนายสุรสิทธิ์ หรือนาย ราชบัวสี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101 หมู่ที่ 2 ต.โนนสะอาด อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู นายธนวัฒน์ หรือหนุ่ม วิเศษศรี อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 161/98 หมู่ที่ 14 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น และนายอุดมศักดิ์ หรือตี๋ เซี่ยงเห็น อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38/2 หมู่ที่ 5 ต.ท่าเสา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี รถเบนซ์ สีดำ หมายเลขทะเบียน สณ 882 กทม. รถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทรทัน สีดำ หมายเลขทะเบียน กย-264 นครราชสีมา ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอมป้ายแดง ณ-2728 กทม. จักรยานยี่ห้อแคนนอลเดล รุ่นสไลท์ สีขาว 1 คัน และรุ่นซูเปอร์ซิกซ์ สีขาว อีก 1 คัน พร้อมทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไอแพด เครื่องเพชร นาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมดัง พระเครื่อง และอุปกรณ์งัดแงะชนิดต่างๆ รวมทั้งสิ้น 23 รายการ รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยจับกุมได้ที่ร้านเคเอฟซีชั้น 5 ห้างเซ็นทรัลพัทยากลาง ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
        การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 222/73 หมู่บ้านนุศาสิริ ซอยกาญจนาภิเษก 22 แขวงและเขตสะพานสูง เดินทางกลับมาที่บ้านหลังจากไปพักผ่อนต่างจังหวัด พบว่าบ้านถูกคนร้ายงัดแงะและรื้อค้นเอาทรัพย์สินกับรถเบนซ์คันดังกล่าวออกจากบ้านไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางแผนออกติดตามจับกุมจนกระทั่งพบเบาะแสว่ามีผู้พบเห็นกลุ่มผู้ต้องหา 3 คนกำลังขับรถเบนซ์คันดังกล่าวอยู่บนถนนพัทยากลาง จ.ชลบุรี ก่อนจะขับเข้าไปในห้างเซ็นทรัลพัทยา จึงนำกำลังลงพื้นที่ไปตรวจสอบก็พบผู้ต้องหาทั้ง 3 คนกำลังเดินอยู่ภายในห้างดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวขอตรวจค้นพบกุญแจรถเบนซ์คันดังกล่าวอยู่ในตัวนายสุรสิทธิ์จึงยึดไว้เป็นของกลางก่อนนำตัวมาสอบสวน เบื้องต้นทั้งสามสารภาพว่าได้ลักรถเบนซ์คันดังกล่าวออกมาจากบ้านผู้เสียหาย และยังมีทรัพย์สินของผู้เสียหายอีกจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ที่ห้องพักรายวันแห่งหนึ่ง จึงเข้าตรวจยึดก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามคนมาสอบสวนที่สน.ประเวศต่อ
       
                                          ทรัพยสินจำนวนมากที่ซุกซ่อนไว้ในห้องพัก 
       สอบสวนนายสุรสิทธิ์ หัวหน้าแก๊งให้การว่า ก่อนหน้านี้เมื่อปี 47 เคยถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ที่ สภ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ติดคุกอยู่นาน 3 ปี หลังจากพ้นโทษออกมาก็ชวนนายธนวัฒน์ กับนายอุดมศักดิ์ ออกตระเวนงัดแงะตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดมาโดยตลอด และยังไม่เคยถูกจับได้อีกเลย โดยจะใช้วิธีนั่งรถแท็กซี่ตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ หากพบว่าบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านไหนไม่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ก็จะเข้าไปทันที จากนั้นก็สังเกตดูตามบ้านหลังต่างๆ หากพบว่าหลังไหนไม่มีคนอยู่ก็จะปีนเข้าไปทันทีพร้อมทั้งใช้อุปกรณ์งัดแงะที่เตรียมมางัดเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้าน ก่อนนำออกไปขายแบ่งเงินกัน ทั้งนี้หากพบว่ามีรถจอดอยู่และมีกุญแจรถอยู่ในบ้านขับรถของผู้เสียหายออกมาด้วยเลย
     
                                          จักรยานก็ไม่เว้น 
       นายสุรสิทธิ์ให้การต่อว่า สำหรับวันเกิดเหตุพวกตนได้ปีนเข้าไปในบ้านเลขที่ 222/73 ก่อนจะงัดประตูเข้าไปรื้อค้นเอาทรัพย์สินกับจักรยานอีก 2 คันภายในบ้าน นอกจากนี้ยังเจอกุญแจรถเบนซ์วางอยู่ด้วย จึงขนทรัพย์สินกับจักรยานใส่รถเบนซ์แล้วขับออกมาทันที ก่อนจะเข้าไปงัดบ้านอีกหลังหนึ่งได้เครื่องเพชรไปจำนวนมาก โดยตั้งใจว่าจะนำรถเบนซ์ไปขายแต่ยังขายไม่ได้ พวกตนจึงพากันไปงัดบ้านหลังหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ก่อนจะลักเอาทรัพย์สินและขับรถกระบะมิตซูบิชิ รุ่นไทรทัน สีดำออกมา แล้วขับกลับ กทม.ไปจอดไว้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ก่อนจะขับรถเบนซ์ไปเที่ยวที่พัทยา จนกระทั่งมาถูกตามจับได้ดังกล่าว
       
                                         ชี้จุดที่ลอบปีนเข้าไปลักทรัพย์ 
       พ.ต.ท.สมศักดิ์กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของนายสุรสิทธิ์ พบว่า ตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา เจ้าตัวมีหมายจับคดีปล้นทรัพย์และลักทรัพย์ตามจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสาน และภาคเหนือติดตัวอยู่ถึง 8 หมายจับ ส่วนนายธนวัฒน์เคยถูกจับกุมข้อหาจำหน่ายยาบ้าเมื่อปี 2549 และนายอุดมศักดิ์เคยถูกจับข้อหาลักทรัพย์เมื่อปี 2541 และถูกออกหมายจับคดีปล้นทรัพย์ เมื่อปีที่แล้ว โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนและส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรีต่อไป
       
       ทั้งนี้ หากผู้เสียหายรายใดสงสัยว่าเคยถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านก็สามารถเดินทางมาดูตรวจสอบได้ที่ สน.ประเวศ...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th


แค่ปมเลื่อนรถ จับลูกเจ้าของธุรกิจหมูยอยิง ส.ต.บาดเจ็บ

                                         ตร.คุมตัวนายธเชนทร์ หรือป๋อง ปวีณวิทยโรจน์ อายุ 25 ปี มาสอบปากคำและดำเนินคดี


ตร.บางซื่อตามรวบลูกชายเจ้าของธุรกิจขายส่งหมูยอในเมืองนนท์ ก่อเหตุยิงทหารสังกัดกองพลทหารปืนใหญ่บาดเจ็บ เจ้าตัวอ้างแค่ขอให้เลื่อนรถให้แต่คู่กรณีเมินเฉย แถมด่าทอด้วยคำหยาบ จึงเดินเข้าไปพูดคุยแต่เพื่อนทหารของคู่กรณีเดินเข้ามาเหมือนทำร้าย ก่อนชักปืนยิงใส่รถคู่กรณีกระสุนเข้าที่ท้องแล้ววิ่งหลบหนี ก่อนมาถูกตามจับตัวในที่สุด
         วันนี้ (14 พ.ค.) เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.สุนทร คงกล่ำ ผกก.สน.บางซื่อ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วาสุเทพ คงกล่อม รอง ผกก.สน.บางซื่อ ร่วมแถลงการจับกุม นายธเชนทร์ หรือป๋อง ปวีณวิทยโรจน์ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 781 ถ.สามัคคี ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี พร้อมของกลางปืนยี่ห้อเอสเอส 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 1 นัด โดยสามารถจับกุมได้ขณะกำลังหลบหนีที่สถานีขนส่งหมอชิต
       พ.ต.อ.สุนทรเปิดเผยว่า สืบเนื่องเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางซื่อ รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณหน้าอาคารพัสดุหรือจุดรับส่งสินค้าภายในสถานีขนส่งหมอชิต จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบ ส.ต.ยุทธโยธิน เครือวัลย์ อายุ 23 ปี ทหารสังกัดกองพลทหารปืนใหญ่ที่ 2 ต่อสู้อากาศยาน ถูกยิงเข้าที่บริเวณหน้าท้องด้านซ้าย จึงรีบนำตัวส่ง รพ.พระมงกุฎ ทั้งนี้ จากการสอบถามเพื่อนของทหารที่บาดเจ็บ ทราบว่าคนก่อเหตุ คือ นายธเชนทร์ ได้วิ่งหลบหนีไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมได้พร้อมของกลางเป็นอาวุธปืน
       จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ที่บ้านทำธุรกิจขายส่งหมูยอในจังหวัดนนทบุรี ชื่อ คุณต้อยหมูยอ โดยก่อนเกิดเหตุตนเดินทางมากับพี่สาวและน้องชาย เพื่อจะส่งหมูยอไปขายตามต่างจังหวัด และได้ขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ซ สีดำ ทะเบียน ศ 333 ป้ายแดง กทม.มาจอดไว้หน้าจุดส่งพัสดุ ต่อมาได้มีรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว ทะเบียน ก-0733 สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นของ ส.ต.ยุทธโยธินขับมาจอดกีดขวาง จึงทำให้พี่สาวเดินเข้าไปพูดคุยกับ ส.ต.ยุทธโยธินเพื่อขอให้เลื่อนรถ แต่ทาง ส.ต.ยุทธโยธินไม่ยินยอมพร้อมทั้งใช้ถ้อยคำหยาบคาย
       จากนั้นตนกำลังจะเดินเข้าไปเพื่อพูดคุยด้วย แต่เพื่อนของ ส.ต.ยุทธโยธินเดินเข้ามาเหมือนจะทำร้าย ตนจึงตัดสินใจเข้าไปหยิบปืนในรถออกมายิงใส่ ส.ต.ยุทธโยธิน 1 นัด กระสุนเข้าบริเวณท้องด้านซ้ายอาการสาหัส จากนั้นจึงวิ่งหลบหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันตามจับกุมไว้ได้ ส่วนปืนดังกล่าวตนพกติดตัวไว้เฉพาะตอนออกมาส่งหมูยอเท่านั้น และเป็นปืนไม่มีทะเบียนซึ่งได้มาจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จัก
        เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่า, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุอันควร, ยิงปืนในที่สาธารณโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th


วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หนุ่มแบงก์ซิ่งเก๋งขึ้นทางเท้าชน นศ.สาวดับอนาถ


                                          เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ


หนุ่มแบงก์ซิ่งเก๋งเสียหลักพุ่งขึ้นทางเท้าเฉี่ยวชน นศ.สาว ม.หัวเฉียวดับอนาถคาที่ ส่วนแม่ที่นั่งมาด้วยในรถอาการสาหัส 
       
       วันนี้ (14 พ.ค.) เมื่อเวลา 00.10 น. พ.ต.ท.สมนึก สันติภาตะนันท์ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.พหลโยธิน รับแจ้งเหตุมีรถเฉี่ยวชนคนเดินเท้าเสียชีวิตและบาดเจ็บบริเวณหน้าปากซอยงามวงศ์วาน 44 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
       
       ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ยี่ห้อซูบารุ รุ่นอิมเพรสซา ขับเคลื่อนสี่ล้อ สีขาว หมายเลขทะเบียน วณ 3363 กรุงเทพฯ สภาพด้านหน้าพังยับชนติดอยู่กับเสาไฟฟ้า ใกล้กันพบศพ น.ส.สรัพร ลาภเจริทรัพย์ อายุ 20 ปี นักศึกษาคณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียว ชั้นปีที่ 3 นอนเสียชีวิตที่หน้าประตูร้านขายก๋วยเตี๋ยวเลขที่ 45 ข แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ซึ่งตั้งอยู่ปากซอย สภาพศพสวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีดำ คอหัก กะโหลกศีรษะด้านซ้ายแตกเป็นแผลฉกรรจ์ ส่วนผู้บาดเจ็บอีกรายซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตาย เจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ทราบชื่อคือนายกอบบุญ กุยแสงธรรณ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 411/3 ม.9 ถ.สวรรค์วิถี ต.นครสวรรค์เหนือ อ.เมือง จ.นครสวรรค์
       
       ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์ซูบารุ เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลวิภาวดี ทราบชื่อนายนิธิวัชร์ เรียบร้อยเจริญ อายุ 29 ปี พนักงานธนาคารยูโอบี อยู่บ้านเลขที่ 145 ซ.รัชดา 66 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. ล่าสุดอาการปลอดภัย อีกคนที่นั่งมาด้วยเป็นแม่ของคนขับ คือ นางนิตย์รดี เรียบร้อยเจริญ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 145 ซ.รัชดา 66 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. อาการสาหัส
       
       จากการสอบสวนทราบว่า นายนิธิวัชร์ขับรถมุ่งหน้ามาจากทางแยกเกษตร ถนนงามวงศ์วานขาออก เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ใช้ช่องทางที่ 3 กำลังจะขึ้นสะพานที่จะข้ามถนนวิภาวดีไปยังฝั่งเดอะมอลล์งามวงศ์วาน แต่เกิดเสียหลักกะทันหันและปาดหน้ารถแท็กซี่ที่วิ่งมาตามช่องทางซ้ายสุด ก่อนจะพุ่งขึ้นบนทางเท้าแล้วชนผู้ตายที่เดินมากับนายกอบบุญเข้าอย่างจัง ก่อนจะชนกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าจนเกือบล้ม
       
       ด้าน นายนิธิวัชร์ให้การว่า ตนได้ไปทำธุระกับแม่ที่ย่านเกษตรนวมินทร์ ก่อนจะขับรถกลับ โดยผ่านแยกเกษตรจนมาถึงที่เกิดเหตุ กำลังจะออกช่องทางซ้ายไปทางถนนวิภาวดี แต่ขณะที่ขับอยู่ตนได้มองเห็นเสาสีแดงขาวที่ตั้งอยู่ตีนสะพานอย่างกะทันหันจึงตกใจหักรถหลบมาทางซ้ายทันที และปาดหน้ารถแท็กซี่ที่อยู่ช่องทางซ้ายสุดและเสยทางเท้าไปชนกับผู้ตายดังกล่าว
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาต่อนายนิธิวัชร์ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต ส่วน พ.ร.บ.รถยนต์ ที่ไม่ได้ต่อทะเบียนนั้นต้องรอการตรวจสอบก่อน ขณะที่ผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อนจึงจะสอบปากคำ อย่างไรก็ตาม คดีนี้คาดว่าคงไม่ซับซ้อน เนื่องจากนายนิธิวัชร์ผู้ขับรถให้การยอมรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนขับรถชนจริง...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th


วิธีหนีการข่มขืน



สมัยนี้ผู้หญิงอย่างเรา ๆ จะไว้ใจใครง่าย ๆ ไม่ได้ รู้หน้าไม่รู้ใจ จะไปไหนมาไหนต้องระวังตัวให้มาก ทางที่ดีควรมีวิชาติดตัว ไว้บ้าง ศิลปะป้องกันตัวจะช่วยให้สาว ๆ เอาตัวรอดจากการถูกข่มขืนได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ต้องมีสติเสียก่อน ถ้ามัวแต่ตื่นตกใจ กลัว รับรองเสร็จมันแน่ ๆ เลยค่ะ

หากถูกลากไปข่มขืน วิธีเอาตัวรอดมีดังนี้
1. คนร้ายมักจะซุ่มรอทีเผลอ ที่โดนบ่อย ๆ คือ ล็อคแขนไขว้หลัง มืออุดปาก แล้วกระชากหรือลากเข้าข้างทาง ถ้าเตรียมตัวมาดีก็อาจจะมีอาวุธจี้เพื่อไม่ให้เหยื่อขัดขืน แน่นอนว่าเหยื่อน้อยคนที่เห็นมีด ปืนแล้วจะกล้าใช้วิชาที่เรียนมา
2. เมื่อโดนลากเข้าข้างทาง คุณก็จะโดนต่อยท้องเพื่อให้จุกจนไม่มีแรงดิ้นและตบปากหรือต่อยหน้าเพื่อให้กลัวเจ็บหรือกึ่ง ๆ หมดสติ จากนั้นถ้าคนร้ายหื่นแบบชาญฉลาดก็จะหาของมาอุดปากคุณไว้ไม่ให้ส่งเสียงดัง
3. เมื่อคนร้ายเห็นคุณไม่มีแรงดิ้น ก็จะทำการถลกส่วนล่างคุณออก โดยท่าที่นิยมคือนั่งคร่อมเอว เอาเข่ากดแขนส่วนบนคุณไว้ทำให้ไม่มีแรงมากพอจะผลัก แถมยังจุกอยู่อีกตะหาก
4. จากนั้นเมื่อคนร้ายเตรียมปฏิบัติการ จังหวะนี้ถ้าคุณโชคดียังมีสติอยู่ให้พยายามเซฟแรงไว้รอข้อต่อไป
5. เมื่อคนร้ายพยายามสอดใส่ ให้คุณอาศัยจังหวะนี้ซึ่งคนร้ายมักจะเผลอลืมกดแขน คว้าลูกปิงปองทั้งสองลูกแล้วบีบให้เต็มที่ เอาเล็บจิกด้วยยิ่งดี ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครคิดจะฆ่าคุณในตอนนี้แน่ รับรองร้องเสียงหลง ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

6. หลังจากนั้น อย่าเพิ่งคิดหนีตอนนี้ พิจารณาดูคนร้ายให้ดีก่อน รีบประเมินสถานภาพคนร้ายว่า ที่เราทำลงไปหยุดเขาได้ไหม ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ตายตอนโดนข่มขืนแต่จะมาตายตอนนี้ละ เพราะจะหนีอย่างเดียว ตัวเองก็วิ่งไม่ไหว คนร้ายก็ยังลุกขึ้นมาตามทุบหัวเอาได้ ดังนั้นหากเห็นว่าคนร้ายหมดสภาพแน่ ๆ และชุมชนอยู่ไม่ไกลจึงค่อยหนี
7. ถ้าคนร้ายแค่เสียจังหวะ คือ อาจจะลงไปนอนงอก่องอขิงอยู่แป๊บเดียว และมีทีท่าจะลุกขึ้นมา สิ่งที่คุณต้องทำคือ รีบหาอาวุธให้เร็วที่สุด จะเป็นไม้ก้อนหิน ปากกา (ใช้เสียบได้) คัตเตอร์ สเปรย์ ปืน ฯลฯ ทุกอย่างที่จะเป็นอาวุธ ได้ ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็รองเท้าส้นสูงของคุณนี่แหละ หวดเข้าไปที่บริเวณต่อไปนี้ ที่เดิม แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ได้เพราะคนร้ายมักจะกุมไว้กลางแสกหน้า ยิ่งถ้าคุณใส่ส้นสูงด้วย ไม่ว่ามันจะตัวใหญ่แค่ไหนก็จอดมานักต่อนักแล้วกกหู ขมับ ทุบรัว ๆ ไปเลย (ไม่แนะนำท้ายทอยหรือคาง เพราะโดนยาก)

  ถ้ามีก้อนหินโต ๆ ทุบกลางหน้าแข้งเลย รับรองเดี้ยง ร้องสามบ้านแปด บ้านที่สุดท้าย อาจจะโหดหน่อยแต่ถ้าทำได้ จะเวิร์คมาก "นิ้วเท้า" โดยเฉพาะนิ้วเล็ก ๆ ตั้งแต่นิ้วกลางถึงนิ้วก้อยนี่ละ หินทุบผัวะเข้าไป เอาให้เละไปเลย 
จากนั้นรีบจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย คว้าสิ่งของมีค่าพาตัวเองออกไปให้ไวที่สุดวิธีนี้อาจช่วยให้คุณรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าทำพฤติกรรมเสี่ยงเป็นดีที่สุดค่ะ อย่าแต่งกายล่อแหลม เช่นเสื้อผ้าแฟชั่นรัด ๆ
คอลึก ๆ กระโปรงหรือกางเกงสั้น ๆ เครื่องประดับราคาแพงล่อตาล่อใจโจรหรือกลับบ้านคนเดียวดึก ๆ อย่างนี้อยู่ในภาวะเสี่ยงแน่นอนค่ะ...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
http://brightlives.th.88db.com/lifestyle/rape.htm

แนวทางปฏิบัติ ในคดีข่มขืน



   ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรา และหากเราเกิดโชคร้ายต้องพบกับเรื่องแบบนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง ศึกษาไว้ไม่เสียหายค่ะ... 


การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้นก่อนตัดสินใจดำเนินคดี 


          ๐ ในระหว่างเกิดเหตุควรพยายามตั้งสติให้ได้ หากไม่มีทางเลือก ที่ดีไปกว่าการรักษาชีวิตไว้ก่อนแล้ว จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ก็ควรจะยอมไปก่อน เพื่อหาทางหลบหนีเอาตัวรอดเมื่อมีโอกาส 
พยายามหาทางออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด (โดยเฉพาะกรณีที่ถูกขัง) เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องต่อไป  
          ๐ เมื่อออกจากจุดเกิดเหตุสิ่งแรกที่ควรทำคือ หาผู้ช่วยเหลือที่ ใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะถ้าคิดว่าตนเองไม่อาจทำอะไรต่อไปได้เอง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือมีอาการบาดเจ็บมาก  
          ๐ รีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาบาดแผล, ตรวจเชื้อกามโรค, โรค เอดส์, ป้องกันการตั้งครรภ์ และเพื่อตรวจหาหลักฐาน เช่น น้ำเชื้ออสุจิ, ร่องรอยการร่วมประเวณี, ขน, ผม, เป็นต้น รวมทั้งการหาสารประเภทยานอนหลับ หรือแอลกอฮอล์ในร่างกายสำหรับรายที่ถูกวางยาหรือมอมเหล้า เบียร์ ดังนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเก็บพิสูจน์หลักฐาน จึงไม่ควรเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ หรือชำระล้างสิ่งใด ๆ จากร่างกายก่อนพบแพทย์  
          ๐ รีบแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที เพราะยังสามารถบอก รูปร่างหน้าตา จดจำลักษณะของผู้กระทำผิด ในกรณีเป็นคนแปลกหน้า เพื่อจะจับตัวผู้กระทำผิดให้ได้เร็วก่อนจะหลบหนีไป และต้องแจ้งความ ณ สถานีตำรวจซึ่งอยู่ในท้องที่เกิดเหตุ และจดจำชื่อ-ที่อยู่ของพยานในเกตุการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการติดตามมาเป็นพยานและในการดำเนินคดี 




การร้องเรียนทางวินัย 
          ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดรับราชการ ลูกจ้างประจำ หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัย กิจการเอกชนต่าง ๆ รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ที่มีองค์กรดูแลควบคุมจรรยาบรรณ เช่น แพทย์สภา, สภาทนายความ, ทันตสภา, วิศวกรสภา เป็นต้น ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานเหล่านี้ได้ ซึ่งอาจจะมีผลให้ต้องไล่ออก, ปลดออก, ลดขั้นเงินเดือน, ตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ความประพฤติไว้  
          เพราะนอกจากจะเป็นการลงโทษผู้กระทำความผิดได้ทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในด้านพยานหลักฐานต่าง ๆ เมื่อผู้เสียหายนำคดีขึ้นสู่ศาล หรือแม้ในชั้นศาล พยานหลักฐานจะอ่อนจนไม่อาจลงโทษผู้กระทำผิดได้ เช่น คดีขาดอายุความ มีการถอนคำร้องทุกข์ยอมรับค่าเสียหาย การข่มขืนผู้เสียหายจริง จะมีผลในด้านความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน ของผู้กระทำผิดได้ทางหนึ่ง




การแจ้งความร้องทุกข์ 
          นอกจากจะมีการลงบันทึกประจำวันแล้ว สำหรับกรณีที่รู้ตัวผู้กระทำผิด ผู้เสียหายจะต้องระบุตัวผู้กระทำผิด ว่าต้องการให้เอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษด้วย มิใช่แจ้งไว้เพื่อมิให้คดีขาดอายุความ หรือแจ้งไว้เป็นหลักฐาน จะไปตกลงค่าเสียหายกันก่อน เพราะเท่ากับยังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ และควรขอคัดลอกบันทึกประจำวันการแจ้งความไว้ด้วย เพื่อป้องกันได้ว่ามีการลงบันทึกประวันจำไว้จริง
          ในกรณีที่เป็นผู้เยาว์ คือ อายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องให้พ่อหรือแม่เป็นผู้พาไป ถ้าพ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียน ต้องให้แม่เป็นผู้พาไป ถ้าเด็ก ๆ ไม่มีพ่อแม่ต้องให้ญาติพาไป




อายุความ 
          สำหรับคดีที่ผู้ถูกข่มขืนอายุเกิน 15 ปี จะต้องมีการแจ้งความหรือฟ้องคดีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันเกิดเหตุ มิฉะนั้นจะถือว่าคดีขาดอายุความ
          กรณีต่อไปนี้ ไม่อยู่ในอายุความ 3 เดือน สามารถแจ้งความได้แม้เกิน 3 เดือน 
          - ผู้ถูกข่มขืน ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตาย  
          - ผู้ข่มขืนมีมากกว่า 2 คน อันเป็นการโทรมหญิง  
          - มีอาวุธปืน ใช้ขู่บังคับ หรือแสดงให้เห็นในขณะกระทำความผิด  
          - ผู้ข่มขืนเป็นพ่อ ปู่ ตา ทวด หรือ ครูอาจารย์ 
          อย่างไรก็ตามสำหรับรายที่สามารถแจ้งความได้แม้เกิน 3 เดือน แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของพยานหลักฐานที่หาไม่ได้แล้ว หรือการจดจำพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่น วันเวลาที่เกิดเหตุ หรือรูปพรรณสัณฐานคนร้ายในกรณีที่เป็นคนแปลกหน้า ฯลฯ  
          ทางที่ดีที่สุด จึงควรแจ้งความในทันทีที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ถูกข่มขืน และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้


การยอมความ 


          คดีข่มขืนที่ต้องแจ้งความ หรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน เป็นคดีที่สามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ ซึ่งการยอมความนั้นจะมีบันทึกหรือเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ ฉะนั้นการที่จะตกลงรับเงินชดใช้ค่าเสียหายและมีพยานบุคคลเห็น ก็ถือว่าเป็นการยอมความแล้ว ไม่สามารถจะเปลี่ยนใจภายหลังได้อีก จึงต้องคิดให้รอบคอบเพราะค่าเสียหายเพียงน้อยนิดก็ถือว่าเป็นการยอมความแล้ว  
          ทางที่ดีเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในภายหลัง จึงควรไปตกลงต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรับค่าเสียหายก่อนทำบันทึกตกลงยอมความ หากยังไม่ได้เงินค่าเสียหายครบถ้วนที่ตกลงกันไว้ ไม่ควรทำบันทึกไว้ก่อน เพราะในคดีข่มขืน แม้ผู้เสียหายไม่ตกลงยอมความ ผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหาย โดยฟ้องเรียกในทางแพ่ง ได้อยู่แล้ว  
          ในกรณีที่ผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปีและยินยอมให้กระทำชำเราโดยความเต็มใจ เช่น การหนีตามผู้ชาย หรือหลงเชื่อว่าผู้ชายจะพาไปอยู่กินฉันผัวเมีย หากพ่อแม่ไปพบและเอาตัวเด็กผู้หญิงกลับมาบ้าน และแจ้งความดำเนินคดีกับชายที่มาหลอกลูกสาวไป ในข้อหากระทำชำเราโดยเด็กหญิงยินยอม และข้อหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร แม้จะมีช่องทางช่วยเหลือฝ่ายชาย ให้ไม่ต้องโทษในคดีอาญา โดยการร้องขอต่อศาลคดีเด็กและเยาวชน ขอจดทะเบียนสมรส ถ้าหากเด็กอนุญาต ฝ่ายชายสามารถนำทะเบียนสมรสมาแสดงต่อศาลอาญาจะทำให้ไม่ต้องถูกลงโทษในคดีกระทำชำเราได้ ส่วนข้อหาพรากผู้เยาว์ในกรณีที่ได้ความว่า ฝ่ายชายไม่มีภริยามาก่อน ศาลมักจะใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษ เป็นการช่วยให้ฝ่ายชายไม่ต้องรับโทษในการพาเด็กหญิงหนีตาม  
          ดังนั้นหากพ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า ฝ่ายชายไม่ได้จริงใจในการจะรับผิดชอบเด็กหญิง แต่ทำไปเพื่อให้หลุดพ้นจากคดีอาญาไปก่อน แล้วค่อยหาทางเลิกกับเด็กในภายหลัง และตัวเด็กหญิงเองก็ยังอยู่ในวัยต้องศึกษาเล่าเรียน เพื่อหาความรู้ในการประกอบอาชีพของตัวเองในวันข้างหน้า ทั้งยังด้อยวุฒิภาวะในการที่มีครอบครัวในขณะนั้น แม้จะมีกฎหมายเปิดช่องให้ฝ่ายชายทำเช่นนั้นได้ก็ตาม พ่อแม่ก็สามารถที่จะคัดค้านแถลงต่อศาลที่ฝ่ายชายไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสที่ศาลเด็กได้ รวมทั้งแถลงต่อศาลในคดีอาญาว่าประสงค์จะให้ฝ่ายชายได้รับการลงโทษ เพื่อให้การคุ้มครองแก่เด็กหญิง ซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะ พอปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540 ที่มีความเห็นออกมาคุ้มครองเด็กหญิง  
          หากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ติดต่อไปที่ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2822690, 2825296 


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:


แอบปิ๊งสาวข้างห้อง หนุ่มปีนฝ้ามีดจี้ข่มขืน


12 พ.ค. - ตำรวจ สน.หนองจอก จับกุมคนขับรถรับจ้างก่อเหตุข่มขืนสาวข้างห้อง ตรวจสอบประวัติพบมีหมายจับคดีขับรถชนคนตาย และเคยถูกจับกุมคดีลักทรัพย์
นายสมชาย ฮามัดสอิ๊ด อายุ 29 ปี ถูกตำรวจ สน.หนองจอก จับกุมที่บริษัทแห่งหนึ่ง ย่านสุวินทวงศ์ หลังเมื่อวานนี้ ก่อเหตุข่มขืน น.ส.เจน (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นสาวข้างห้องพัก ภายในซอยส้มตำ ถนนสังฆะสันติสุข เขตหนองจอก
ผู้ต้องหาให้การว่า มีอาชีพขับรถรับจ้าง แอบชอบผู้เสียหายมานานแล้ว วันเกิดเหตุ (11 พ.ค.) อยู่ในอาการเมาสุรา จึงตัดสินใจปีนฝ้าเพดานห้องน้ำเข้าไปห้องผู้เสียหายใช้มืออุดปากและมีดจ่อคอ บังคับข่มขืนและกักขังตัวไว้จนถึงเช้า พร้อมขู่ไม่ให้แจ้งความ จากการตรวจสอบประวัติยังพบเพิ่งพ้นโทษคดีลักทรัพย์มา 5 เดือน และมีหมายจับคดีขับรถชนคนตายเมื่อปี 2551 - สำนักข่าวไทย...
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: