This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พ่อจูงมือลูกสาววัย 6 ขวบร้องสื่อถูกตำรวจเป่าคดีลูกถูกข่มขืน

นายเอ (นามสมมติ)อายุ 26 ปี พาบุตรสาววัย 6 ขวบเข้าร้องเรียนกับ นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย กรณีบุตรสาวถูกข่มขืนแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจนทำให้ผู้ก่อเหตุหลบหนีไป
พ่อสุดทน!พาลูกสาววัย 6 ขวบบุกร้องสมาคมนักข่าวอาชญากรรมฯ หลังตำรวจ สน.ประชาชื่นเป่าคดีลูถูกเพื่อนบ้านลวงข่มขืนจนอวัยวะเพศฉีกขาด  ซ้ำยังปล่อยคนร้ายหนีลอยนวล  
       วันนี้ (9 มิ.ย.) เวลา 11.30 น. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายเอ (นามสมมติ)อายุ 26 ปี  เดินทางมาพร้อมกับ ด.ญ.ฝน (นามสมมุติ) อายุ 6 ปี บุตรสาว เพื่อเข้าร้องเรียนกับ นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมฯ กรณีบุตรสาวถูกกระทำชำเราแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้หลบหนีไปแล้ว
       นายเอ เปิดเผยว่า  สืบเนื่องเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา ด.ญ.ฝน ได้ออกไปเล่นข้างนอกบ้านพัก ในย่านประชาชื่น โดยขณะนั้นมีฝนตกลงมาหนักมาก ทุกคนในบ้านจึงช่วยกันออกตามหา ต่อมาได้เห็นลูกสาววิ่งออกมาจากบ้านของ นายศุภณัฐ มาเนียม ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านในระแวกใกล้เคียง แต่นายศุภณัฐบอกว่าพาลูกสาวตนไปดูการ์ตูนภายในบ้านเลยไม่ได้ยินเสียงเรียก จนกระทั่งหลายวันผ่านไปสังเกตว่าเวลาลูกสาวปัสสาวะจะรู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศ ตนจึงสอบถามลูกสาว จนเล่าให้ฟังว่า นายศุภณัฐ ได้พาขึ้นไปชั้นสองของบ้านเพื่อดูหนังโป๊ และ ได้กระทำชำเราพร้อมกับให้เงิน 20 บาท ซึ่งบอกกำชับด้วยว่าอย่านำเรื่องไปบอกใคร
      นายเอ กล่าวว่า ตนได้พาลูกสาวไปตรวจร่างกายที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งแพทย์ได้ระบุว่าพบร่องรอยการฉีกขาดบริเวณอวัยวะเพศ 3 แห่ง  ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2555 จึงเดินทางไปแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น โดยร้อยเวร ได้เชิญตัว นายศุภณัฐ มายังสถานี แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งนี้ ร้อยเวรไม่ได้รับแจ้งความและไม่ยอมลงบันทึกประจำวันแต่อย่างใด โดยอ้างว่าต้องรอผลตรวจจากแพทย์ 3 เดือนก่อน จนกระทั่งปัจจุบันนายศุภณัฐ ได้หลบหนีไปแล้ว
     นายไพโรจน์  กล่าวว่า  เบื้องต้นได้ประสานไปยังโรงพยาบาลตำรวจเพื่อขอผลตรวจ ซึ่งแพทย์ยืนยันว่า ด.ญ.ฝน มีร่องรอยถูกกระทำชำเราจริง แต่ทางพนักงานสอบสวนกับยังไม่ได้ขอผลตรวจพิสูจน์กับทางโรงพยาบาล และยังอ้างว่าต้องรออีก 3 เดือน ถึงจะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาได้ จนขณะนี้ผู้ถูกกล่าวหาได้หลบหนีไปแล้ว นอกจากนี้ ผู้ถูกกล่าวหาได้เดินทางไปโรงพักแต่ก็ไม่ได้มีการลงบันทึกประจำวันและไม่ได้มีการสอบสวนใดๆทั้งสิ้น...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 9 มิถุนายน 2555 17:46 น.



ตร.เตือน ปชช.ระวังโรคจิตไล่ฉีดสารเคมีใส่ตา-ก่อนนำภาพโพสต์ในเน็ต

เหยื่อที่ถูกชายโรคจิตฉีดสารเคมีเข้าตา (แฟ้มภาพ)
ตำรวจลุมพินี เตือนประชาชนระวังไอ้โรคจิต ใช้เคมีบรรจุขวดสเปรย์ไล่ฉีดตาและใบหน้า ก่อนนำภาพเหยื่อโพสต์ในอินเทอร์เน็ต
       
       วันนี้ (8 มิ.ย.) พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐผล ผกก.สน.ลุมพินี เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า มีคนโรคจิตใช้สารเคมีบรรจุขวดสเปรย์ ไล่ฉีดประชาชนทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพฯ และมีการเผยแพร่ภาพของเหยื่อที่เสียหายในโลกอินเทอร์เน็ต ว่า ในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.ลุมพินี ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวมีจริง และมีผู้เสียหาย (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) เข้ามาแจ้งความว่า ถูกคนร้ายใช้สเปรย์บรรจุน้ำฉีดเข้าใส่หน้าและร่างกาย เมื่อวันที่ 12 พ.ค.55 ที่ผ่านมา ว่า เหตุเกิดเยื้องบริเวณหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ เป็นลักษณะเหมือนถูกฉีดน้ำใส่ แต่ไม่เห็นคนร้ายที่ก่อเหตุ หลังจากนั้น ได้เกิดแผลรอยแดงและมีอาการคันตามร่างกาย จึงรีบไปพบแพทย์และตรวจสอบก่อนเข้ามาแจ้งความ ทั้งนี้ ผู้เสียหายยืนยันว่า ไม่ได้มีเรื่องกับใครแน่นอน
       
       พ.ต.อ.รังสรรค์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดรอบบริเวณดังกล่าวที่ถูกผู้เสียหายแจ้งความไว้ แต่ยังไม่พบเบาะแสของคนร้ายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทาง สน.ลุมพินี เตรียมประสานขอข้อมูลไปยัง สน.ต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีเหตุในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นในท้องที่ใดบ้าง
       
       “ขอให้ประชาชนระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น และเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือลำบาก แต่ปกติแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจตราในพื้นที่ตลอดเวลา และผมได้กำชับให้เพิ่มการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวไว้ด้วย” พ.ต.อ.รังสรรค์ กล่าว

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th  : 8 มิถุนายน 2555 18:54 น.



วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรเมื่อพบเห็นการล่วงละเมิด


 ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมทุกวันนี้มีการใช้ความรุนแรงอยู่ทั่วไป ทั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน ในจอทีวี หรือแม้แต่บนท้องถนน ผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวย่อมรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของการใช้ความรุนแรงได้เป็นอย่างดี แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียใจที่หลายครั้งของการเกิดเหตุการณ์รุนแรงนั้น เกิดขึ้นโดยปราศจากความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ที่บ้างก็เมินเฉย บ้างก็มองดูอยู่ห่าง ๆ บ้างก็เดินหนีไม่อยากมีเรื่อง 
       
       แต่ถ้าลองนึกดูว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ พี่สาวน้องสาว พี่ชายน้องชาย หรือลูก และเรามาทราบทีหลังว่า เขาต้องต่อสู้ตามลำพัง โดยไม่มีคนรอบข้างยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เราจะรู้สึกเสียใจเพียงใดที่คนที่เรารัก ไม่ได้รับความช่วยเหลือต้องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิต
       
       นั่นจึงเป็นที่มาของวิธีรับมือเมื่อต้องเจอเหตุการณ์การล่วงละเมิดผู้อื่นในที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถช่วยกันได้ และหากยื่นมือมาช่วยกันมาก ๆ คนร้ายที่จ้องจะใช้ความรุนแรงก็จะได้ไม่มีโอกาสทำสิ่งที่เลวร้ายอีกต่อไป โดยอาจเริ่มจาก
       
       1. ตั้งสติก่อนลงมือช่วย
       
       เพราะการช่วยเหลือมีได้มากมายหลายวิธี แต่มันจะเป็นการช่วยเหลือที่ได้ผลดีก็ต่อเมื่อ ผู้ยื่นมือเข้าไปช่วยนั้นมีสติ และไม่กระทำการที่อาจส่งผลร้าย หรือทำให้สถานการณ์โดยรวมแย่ลง
       
       2. วิเคราะห์สถานการณ์ 
       
       สิ่งหนึ่งที่คนร้ายทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเวลาที่ตนเองจะทำร้ายใครสักคนก็คือ การที่มีคนเห็น หรือมีคนเข้ามาช่วย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น หากคุณพบเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ และเข้าใจถึงสภาพจิตใจของคนร้ายดังนี้ คุณก็จะคิดหาวิธีช่วยเหลือ หรือพลิกแพลงวิธีช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อได้อีกมากมาย
       
       3. มองหาแนวทางที่ดีที่สุดและหยิบเอามาใช้อย่างชาญฉลาด
       
       รูปแบบการช่วยเหลืออาจแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น บางสถานการณ์ การตะโกนดัง ๆ ว่า "ไฟไหม้" อาจได้ผลดีกว่าการบอกว่ามีคนจะทำร้ายกัน เพราะการตะโกนว่าไฟไหม้นั้น สั้น ชัดเจน ได้ใจความ และเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้อย่างแน่นอน หรือหากเป็นการล่วงละเมิดบนรถโดยสารประจำทาง แค่ตะโกนดัง ๆ คนที่กระทำผิดก็อายและหนีไปแล้ว ดังนั้น เมื่อตั้งสติและพิจารณาสถานการณ์อย่างรอบคอบแล้ว การเลือกวิธีที่เหมาะสมในการช่วยเหลือยังสามารถช่วยให้ทุกคนรวมทั้งตัวผู้เข้าไปช่วยเองนั้นปลอดภัยอีกด้วย
       
       4. อย่าเลียนแบบ"ละครไทย"เด็ดขาด
       
       โดยแง่คิดสำหรับกรณีนี้ก็คือ การไม่คิดว่าตัวเองคือพระเอกเหมือนในละคร ที่เข้าไปยุติสถานการณ์ด้วยการชกโครมหรือเตะป้าบหนึ่งแล้วคนร้ายก็ผละหนีไป (นั่นมันน้ำเน่าสุด ๆ และมีอยู่จริงแค่ในละครไทยเท่านั้น) การช่วยเหลือที่ดีควรเป็นการช่วยโดยที่ไม่ทำให้ตนเองตกเป็นเหยื่อเสียเอง เพราะนั่นจะทำให้คุณสามารถช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อได้อย่างปลอดภัย และหากจำเป็น หรือเห็นว่ามีการใช้อาวุธ ก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
       
       5. บันทึกหลักฐาน
       
       อีกหนึ่งความช่วยเหลือที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐานด้วย เพราะภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้สามารถเป็นหลักฐานอย่างดีของผู้เสียหายในการมัดตัวคนร้ายที่กระทำรุนแรงนั่นเอง...



โพลสวนดุสิต ย้ำ ปัญหาอาจารย์ลวนลาม นศ. และการให้เกรดไม่เป็นธรรม มีจริง โดยความไม่เป็นธรรมเรื่องเกรด มีถึง 32.52% ขณะครูพฤติกรรมลวนลาม นศ.3.44% “สุขุม” ชี้ ค่านิยมสังคมไทยยกย่องบูชาครู จึงไม่มีใครเชื่อว่ามีการกระทำลักษณะนี้ จี้ทุกฝ่ายเร่งแก้ 
       
       รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เปิดเผยว่า จากกรณีกระแสข่าวความไม่เป็นธรรมกับนักศึกษา ทั้งกรณีการให้เกรดไม่เป็นธรรม การปฏิบัติตนของอาจารย์ต่อนักศึกษา และการล่วงละเมิดทางเพศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกระแสสำคัญที่น่าใจอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของนักศึกษา และเพื่อใช้เป็นแนวทางการป้องการแก้ไขในระยะยาว สวนดุสิตโพล มสด.จึงได้สำรวจความคิดเห็นนักศึกษาทุกระดับชั้นปี ทั้งรัฐ และเอกชน ในกรุงเทพและต่างจังหวัดรวม 1,513 คน ระหว่างวันที่ 9-14 มีนาคม 2555 โดยสอบถามในประเด็นต่างๆดังนี้
       
       นักศึกษาเคยได้รับความไม่เป็นธรรมในเรื่องใดบ้าง พบว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องผลการเรียน 32.52% ไม่เคย 67.48% การแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน เคย 33.31% ไม่เคย 66.69% ความลำเอียงของอาจารย์ เคย 42.04% ไม่เคย 57.96% เพื่อนเคยได้รับความเป็นธรรมในเรื่องใดบ้าง พบว่า เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเรื่องผลการเรียน 44.55% ไม่เคย 55.54% การแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน เคย 41.97% ไม่เคย 58.03% ความลำเอียงของอาจารย์ เคย 45.47% ไม่เคย 54.53% เคยถูกอาจารย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ต่อไปนี้หรือไม่ พูดจ่าหยาบคาย เคย 25.78% ไม่เคย 74.22% ดูถูกเหยียดหยาม เคย 30.67% ไม่เคย 69.33% เยาะเย้ย/ถากถาง เคย 31.33%ไม่เคย 68.67% ลวนลาม เคย 3.44% ไม่เคย 96.56% ทั้งนี้ ผลสำรวจสะท้อนว่า ข่าวที่ออกมามีจริงในทุกสถาบันอุดมศึกษา ทั้งเรื่องการให้เกรดไม่เป็นธรรม และการลวนลามทางเพศ ซึ่งถ้ามีนักศึกษา 100 คน จะได้รับความไม่เป็นธรรมเรื่องการให้เกรดถึง 32 คน ถูกลวนลามถึง 3 คน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษา
       
       “สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสังคมไทยยังมีค่านิยมเรื่องบุญคุณ ยกย่องบูชาครู แม้จะบอกว่าคนที่ทำแบบนี้เป็นอาจารย์ ก็จะไม่ค่อยมีคนเชื่อ ขณะที่เราเองก็ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ไปนานโดยเฉพาะเมื่อเชื่อมโยงความไม่เป็นธรรมไปตั้งแต่ระดับมัธยมจะเห็นปัญหาที่แท้จริง โดยเฉพาะภาพของสังคมไทยเรื่องความไม่เป็นธรรมกับการใช้อำนาจ เพราะฉะนั้น จะต้องมีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยต้องย้อนกลับมามองว่าสถานที่ผลิตครูว่าได้จัดกิจกรรมที่จะสร้างคนที่ เหมาะสมจะเป็นครูหรือไม่ มหาวิทยาลัยที่จะรับคนมาเป็นอาจารย์จะต้องมีการตรวจสอบประวัติ ที่มาที่ไป มีผู้ที่รับรองการทำงาน ดูแค่วุฒิการศึกษาอย่างเดียวคงไม่พอ และที่สำคัญมหาวิทยาลัยเองจะต้องมีมาตรการที่เข้มงวด หากพบว่ามีอาจารย์ทำผิดจรรยาบรรณต้องไล่ออกทันที แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานปรากฏชัด แต่หากนักศึกษายืนยันก็สามารถลงโทษทางวินัยได้ ไม่ต้องคิดว่าเป็นการประจาน หรือทำให้เสียศักดิ์ศรีมหาวิทยาลัย เพราะหากไม่แก้ไขก็จะถือว่าเป็นการหมกเม็ด และหากจะไปหาเหตุผลหรือหลักฐานคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากนักศึกษาที่ถูกกระทำก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะอับอาย” ประธานสวนดุสิตโพล กล่าว...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ...
www.manager.co.th : 5 มิถุนายน 2555 11:29 น.
ภาพจาก Internet



จับยกแก๊งนางงามค้ากามโฮจิมินห์ ดารานักร้องสังกัดเพียบ

หวอถิหมีซวน (Võ Thị Mỹ Xuân) ธิดาแม่น้ำโขงปี 2552 เป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงพอตัว เธอรวยอยู่เงียบๆ ซื้อทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งรถยนต์ มีทั้งบ้านเดี่ยวทั้งคอนโด สะพายกระเป๋าหลุยส์วีตองใบละ 4,000 ดอลลาร์ สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าวว่า ในหมู่แวดวงเพื่อนฝูงล้วนทราบกันดีวันหนึ่งจะต้องลงเอยแบบนี้ แต่การจับกุมนางงาม-นางแบบสาวหลายคนในนครโฮจิมินห์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวสะเทือนวงการบันเทิงของประเทศอีกครั้งหนึ่ง. -- ภาพ: เหงื่อยเดือติน (Người Đưa Tin).

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ตำรวจนครโฮจิมินห์ได้จับกุมอดีตนางงามเทพีธิดาแม่น้ำโขงปี 2552 และตั้งข้อกล่าวหา สมรู้ร่วมคิดกับพวกจัดการให้มีการค้าประเวณี และจัดหาหญิงเพื่อค้าประเวณี โดยมีเครือข่ายใหญ่โตให้บริการ “เพื่อนเที่ยว” ที่มีอดีตนางงาม นางแบบ นักแสดง และนักศึกษาในสังกัดหลายสิบคน 
       
       การจับกุมนางแบบสาวกับผู้สมคบคิดอีก 2 คน นับเป็นการกวาดล้างโสเภณีชั้นสูงระดับสูงสุด เท่าที่เคยมีบันทึกการจับกุมในนครใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศ และยังมีขึ้นเพียงข้ามสัปดาห์หลังจากดารานักแสดง-นางแบบสาวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ถูกจับในข้อเดียวกันในกรุงฮานอย
       
       ห่าถิห่มง์ (Hà Thị Hồng) รับสารภาพว่า เธอกับพวกเรียกค่าบริการจากแขกรายละ 1,500 ดอลลาร์ต่อครั้ง แต่อดีตนางงามที่ถูกจับในนครโฮจิมินห์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าตัวสูงกว่านั้น
       
       หวอถิหมีซวน (Võ Thị Mỹ Xuân) วัย 27 ปี อดีตนางงามจากที่ราบปากแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบัน เป็นนางแบบที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมมากที่สุดคนหนึ่งในโฮจิมินห์ ถูกจับกุมในวันอาทิตย์ที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพียง 1 วัน หลังจากตำรวจหน่วยปราบปรามอาชญากรรมเข้าตรวจค้นโรงแรมหลังหนึ่งในเขตอำเภอที่ 1 อันเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินของนครโฮจิมินห์ และบุกเข้าจับกุมชายหญิง 4 คู่แบบคาหนังคาเขา ขณะประกอบกามกิจในห้องพัก
       
       ในนั้น ยังรวมทั้งเลถิเอี๋ยนซวี (Lê Thị Yến Duy) อดีตนางงามระดับรองหลายเวที กับนางแบบระดับ “5 ดาว” อีกหนึ่งคนด้วย ซึ่งทำให้วงการบันเทิงของประเทศพากันช็อกอีกครั้ง สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว
       
       จากการสอบสวนเบื้องต้นได้พบว่า ลูกค้าจ่ายค้าบริการให้หญิงสาวรายละ 2,000-2,500 ดอลลาร์ ทั้งหมดเป็นนางแบบ นักร้อง และดารานักแสดง หนังสือพิมพ์ออนไลน์เดิ๊ตเหวียด (Báo Đất Việt) ภาษาเวียดนามกล่าว
       
       การสอบปากคำหญิงสาวที่ถูกจับ ได้นำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ อีก 2 คนในวันถัดมา คือ น.ส.เจิ่นกวางมาย (Trần Quang Mai) อายุ 40 ปี พนักงานประจำร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งในเขต อ.เตินบี่ง (Tân Bình) ประจำร้าน กับนายเหวียนหือว์ดัต (Nguyễn Hữu Đạt) พนักงานขับรถวัย 43 ปี ซึ่งเป็นชาวโฮจิมินห์เช่นกัน
จนถึงวันจันทร์ 4 มิ.ย.นี้ หรือหลังจากถูกจับเพียงข้ามวัน ข่าวคราวเกี่ยวกับหวอถิหมีซวน (Võ Thị Mỹ Xuân) ธิดาแม่น้ำโขงปี 2552 กระฉ่อนไปทั่วโลก เธอเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ใช้ชื่อของเธอค้นหาด้วยกูเกิ้ลในวันนี้ก็จะได้คำตอบออกมาหลายล้านคำตอบ การจับกุมเธอกับอดีตเทพีอีกคนหนึ่ง นางแบบอีกคนหนึ่งกับนักศึกษาอีกคนในนครโฮจิมินห์ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการ. -- ภาพ: VietnamExpress.


เทพีธิดาแม่น้ำโขงปี 2552 หวอถิหมีซวน (Võ Thị Mỹ Xuân) ยังใสปิ๊ง เธอยึดอาชีพนางแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งเรียนสำเร็จปริญญาตรีวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นคัฟเวอร์เกิร์ลให้นิตยสารหลายฉบับ เคยร่วมงานแสดงแฟชั่นโชว์ระดับชาติและออกเดินแบบในต่างประเทศ ก่อนจะตกเป็นข้าวใหญ่ในสัปดาห์นี้. -- ภาพ: เหงื่อยเดือติน (Người Đưa Tin).
เลถิเอี๋ยนซวี (Lê Thị Yến Duy) นางงามระดับรองหลายเวที ถูกจับกุม "คาหนังคาเขา" คาโรงแรมใหญ่ในนครโฮจิมินห์ พร้อมคนอื่นๆ อีก 3 คน ทั้งหมดเป็นนางแบบและนักศึกษา เอี๋ยนซวีรับสารภาพว่าได้รับเงินค่าบริการจากแขกครั้งละ 2,000 ดอลลาร์ การจับกุมอดีตนางงาม นางแบบ และนักศึกษาสุดสัปดาห์นี้นับเป็นการทลายแก๊งโสเภณีชั้นสูงครั้งสำคัญ เป็นข่าวสะเทือนวงการบันเทิงและการศึกษาของประเทศ. -- ภาพ: บ๋าวเดิ๊ตเหวียด (Báo Đất Việt).
ห่าถิห่มง์ (Hà Thị Hồng) หรือ ห่มง์ห่า นางแบบและนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง พร้อมนักศึกษาอีก 2 คน ถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาเช่นกัน ในสัปดาห์ปลายเดือน พ.ค.ในโรงแรมแห่งหนึ่งของกรุงฮานอย เดินแบบแฟชั่นมาทั้งในและต่างประเทศ แสดงภาพยนตร์ก็หลายเรื่อง ละครทีวีก็หลายชุด การจับกุมเธอเป็นข่าวสะเทือนวงการ.-- ภาพ: ฝุหนือออนไลน์ (Phụ Nữ Online).

หมีซวนเป็นชาว จ.เหิ่วซยาง (Hậu Giang) ชนะการประกวดธิดาแม่น้ำโขงปี 2552 เคยเข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ระดับประเทศมาหลายครั้ง เป็นคัฟเวอร์เกิร์ลของแมกกาซีนหลายฉบับ ปัจจุบัน เป็นผู้ช่วยผู้จัดการของบริษัทการตลาดแห่งหนึ่ง และยังเป็นนางแบบที่ได้รับความนิยมสูง
       
       ตำรวจตั้งข้อกล่าวบุคคลทั้งสามฐานสมคบกับจัดให้มีการค้าประเวณี และจัดหาหญิงเพื่อการค้าประเวณี กลุ่มนี้ยังจัดให้บริการที่เรียกว่า “เซ็กซ์ทัวร์” คิดค่าบริการคราวละ 20,000-25,000 ดอลลาร์ต่อ 3 วัน สำนักข่าวซเวินจี๊ภาษาเวียดนามรายงาน
       
       สำหรับหมีซวน ไม่เพียงแต่เธอจะ “ขายบริการ” ด้วยตัวเองเท่านั้น หากยังชักชวนเพื่อนางแบบ และนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่งเข้าในเครือข่ายอีกด้วย ซเวินจี๊อ้างผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
       
       ก่อนหน้านั้น ในปลายเดือน พ.ค. ตำรวจกรุงฮานอยได้บุกเข้าตรวจค้นโรงแรมเอ็ม แอนด์ เอ็ม (M&M) ในท้องที่ อ.บาดี่ง (Ba Đình) และจับกุมห่าถิห่มง์ หรือ “ห่มง์ห่า” นางแบบ และนักแสดงที่มีชื่อเสียง พร้อมนักศึกษาอีก 2 คน ได้แบบคาหนังคาเขาเช่นกัน
       
       ห่มง์ห่าเคยเดินแบบในงานแฟชั่นโชว์ทั้งในและต่างประเทศ แสดงภาพยนตร์ กับละครโทรทัศน์มาหลายเรื่อง การจับกุมดาราสาวนับเป็นการกวาดล้างโสเภณีชั้นสูงที่สะเทือนวงการบันเทิงของประเทศมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต่างกับการจับกุมนางแบบรายล่าสุดในโฮจิมินห์
       
       หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับนี้ได้รายงานอ้างคำสัมภาษณ์ของคณะกรรมการจัดประกวดธิดาแม่น้ำโขง ที่ระบุว่า หากเรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริง ก็พร้อมที่จะถอดหมีซวนออกจากทำเนียบนางงามของเวทีนี้
       
       การจับกุมหมีซวนกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในประชาคมออนไลน์ ไม่เพียงแต่ในเวียดนามเท่านั้น จนถึงวันจันทร์นี้ ข่าวคราวเกี่ยวกับเธอสะพัดผ่านอินเทอร์เน็ตไปทั่วโลก หากเสิร์ชชื่อของเธอด้วยกูเกิลขณะนี้ จะได้คำตอบออกมาถึง 6 ล้านคำตอบภายในเวลาเพียง 3 วินาที...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ...
www.manager.co.th : 5 มิถุนายน 2555 00:19 น.

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักท่องเที่ยวผวา พบจระเข้น้ำเค็มผอมโซ 2 ตัวว่ายล่าเหยื่อที่เกาะจวง

นักท่องเที่ยวผวา พบจระเข้น้ำเค็มผอมโซ 2 ตัวว่ายล่าเหยื่อที่เกาะจวง แสมสาร อ่าวสัตหีบ



ศูนย์ข่าวศรีราชา - นักท่องเที่ยว นักดำน้ำ ทหารบก ทหารเรือ ผวา! พบจระเข้น้ำเค็มยาว 3 เมตร 2 ตัว ปรากฏตัวในทะเลใกล้แหล่งดำน้ำเฮี้ยนชื่อดัง “เรือจุฑาทิพย์” เกาะจวง ทหารเรือส่งไกรทองมนุษย์กบ ทีมล่าชาละวันน้ำเค็ม พิชิตได้เพียง 1 เหลืออีก 1 ยังล่าไม่หยุด ตั้งชุดเฉพาะกิจเฝ้าระวัง หวั่นนักท่องเที่ยวหายไม่มาดำน้ำในอ่าวสัตหีบ
       
       วันนี้ (3 มิ.ย.) พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ได้รับรายงานจากน.อ.อาภากร อยู่คงแก้ว บังคับการกรมรบพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ (ผบ.กรม รพศ.นสร.กร.ทร.) ว่า ได้รับแจ้งจากข้าราชการของกองทัพบก ที่นำหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมาทำการฝึกซ้อม และทบทวนการดำน้ำที่จุดดำน้ำ เรือจุฑาทิพย์ ด้านทิศเหนือของ เกาะจวง ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีว่า ได้พบจระเข้ขนาดใหญ่ว่ายอยู่ชายเกาะ ใกล้กับบริเวณที่ดำน้ำเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เกรงจะเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว และผู้ที่มาใช้สถานที่นี้ดำน้ำในหลักสูตรต่างๆ ของทางราชการ และโรงเรียนสอนดำน้ำทั่วประเทศ ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ และสามารถบันทึกภาพจระเข้จำนวน 2 ตัวไว้ได้ มีตัวใหญ่ 1 ตัว และขนาดเล็กกว่าอีก 1 ตัว
       
       ต่อมา พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผบ.นสร.กร.ได้สั่งการให้ น.อ.อาภากร อยู่คงแก้ว จัดชุดไล่ล่าเป็นไกรทองล่าชาละวัน เพื่อนำเรือยาง พร้อมอาวุธ อุปกรณ์ดำน้ำ และจับจระเข้ ออกตรวจสอบบริเวณรอบเกาะจวง เกาะแสมสาร เกาะจาน และบริเวณรอบๆ หมู่เกาะ ตลอดจนจัดชุดเฝ้าระวังติดตามจับจระเข้ 2 ตัวให้ได้โดยเร็ว เพราะขณะนี้ กระแสข่าวเรื่องพบจระเข้ได้ขยายไปในวงกว้างในกลุ่มนักดำน้ำชาวไทย และชาวต่างประเทศ และเกรงว่าถ้าจระเข้ 2 ตัวหิว หรืออดอาหารอาจจะทำให้ทำร้ายนักดำน้ำ และกินคนได้
       
       ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่สัตหีบ เพราะพื้นที่ช่องแสมสารมีนักดำน้ำจำนวนมากนิยมมาดำน้ำกัน เนื่องจากมีทัศนียภาพใต้น้ำ ปะการัง เรือจมที่สวยงาม รายได้ที่ได้มาจากการท่องเที่ยวทางทะเลและหมู่เกาะในแต่ละปีจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้ น.อ.อาภากร พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษไล่ล่าจระเข้ สามารถจับได้จำนวน 1 ตัว ความยาวประมาณ 3 เมตร จึงได้นำไปขังไว้ที่บ่ออนุบาลเต่า เกาะแสมสาร
       
       พร้อมทั้งได้ประสาน และขอความช่วยเหลือไปยัง พล.ร.ท.ชุมพล วงศ์เวคิน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบชายฝั่งทะเล และหมู่เกาะแก่งต่างๆ ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดตราด เพื่อแจ้งให้ชุดปฏิบัติการพิเศษ เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลเกาะและประภาคาร เกาะจวง ตลอดจนเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ช่วยกันตรวจสอบเฝ้าระวังจระเข้ 2 ตัวนี้ร่วมกัน และทราบว่า ได้มีพลทหารที่เฝ้าเกาะพบจระเข้ขึ้นมานอนอยู่ที่ชายหาดด้วย
       
       “อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะจับได้แล้ว 1 ตัว แต่ตามที่ได้รับทราบจากผู้พบเห็นว่ามี 2 ตัว จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษไล่ล่า ดำเนินการติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งในทะเลริมเกาะ และชายหาดต่างๆ เพราะอาจขึ้นไปซุกนอนพักผ่อนอยู่ตามร่มไม้ก็ได้ ถ้ามีอีก 1 ตัวจริง อีกไม่นานก็คงจับได้ ขอให้นักท่องเที่ยว และนักดำน้ำวางใจได้ว่า ทหารเรือจะดูแลท่านให้ปลอดภัย และไล่ล่าให้ได้มาโดยเร็ววันอย่างแน่นอน” ...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 3 มิถุนายน 2555 15:29 น.


ปคม.รวบ 2 แม่เล้าลวงเด็กหญิงค้าประเวณี

พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม.โชว์หลักฐานสมุดรายชื่อลูกค้าที่มาใช้บริการ 
ตำรวจ ปคม.บุกจับกุม 2 นายหน้าค้ามนุษย์ หลังได้รับร้องเรียนจากมูลนิธิปวีณาฯ ว่าเด็กหญิงหายไปจากบ้าน พบถูกล่อลวงไปขายบริการทางเพศตามโรงแรมใน อ.แกลง จ.ระยอง

       
       วันนี้ (3 มิ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. และนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายสิทธิชัย อินทะนาม อายุ 21 ปี สาวประเภทสอง และนางกัญณัฏฐ์ สง่าเมือง อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาล่อลวงเด็กหญิงค้าประเวณี พร้อมของกลาง ยาบ้า 1 เม็ด โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง เงินสด 2,200 บาท อุปกรณ์ในการเสพยาบ้า สมุดบัญชีรายชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ลูกค้าจำนวนมาก
       
       พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการประสานงานจากมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ให้ช่วยติดตามหาตัว ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ซึ่งหายออกไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยนางพิสมัย ขอสงวนนามสกุล มารดาของ ด.ญ.เอ แจ้งให้ติดตามหาตัวบุตรสาว จากการสืบสวนพบว่า ด.ญ.เอได้หลบหนีออกจากบ้านถูกล่อลวงมาขายบริการตามโรงแรมต่างๆ ใน อ.แกลง จ.ระยอง โดยมาพักอยู่กับนายสิทธิชัย ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง จากนั้น นายสิทธิชัยจะติดต่อหาลูกค้า และส่ง ด.ญ.เอให้ไปขายบริการทางเพศตามโรงแรมต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนติดต่อให้นายสิทธิชัยส่ง ด.ญ.มาขายบริการทางเพศ แต่ขณะที่ ด.ญ.เอพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเกิดความกลัววิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดตามจนพบว่า อยู่ในห้องพักเลขที่ 12 อาคารโฮมเท็นเตอร์ ห้องพัก 24 ชม. ต.เขาดิน อ.แกลง จ.ระยอง และพบตัวนายสิทธิชัย เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมตัวนายสิทธิชัยได้พร้อมของกลางยาบ้า 1 เม็ด พร้อมอุปกรณ์การเสพ ทั้งนี้ จากการสอบถาม ด.ญ.เอ ทราบว่า ถูกนายสิทธิชัยหลอกลวงให้ค้าประเวณีตามโรงแรมต่างๆ โดยขายบริการในราคาครั้งละ 1,500 บาท ซึ่งนายสิทธิชัยจะให้เงินตนแต่ละครั้งๆ ละ 800 บาท ซึ่งมีการนำยาบ้ามาให้เสพด้วย
       
       “นอกจากนี้ ด.ญ.เอ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีนางกัญณัฏฐ์ อีกคนที่คอยจัดหาแขกมาให้ด้วย โดยเรียกราคา 1,500 บาทเท่ากัน แต่ตนจะได้ส่วนแบ่งแค่ 600 บาทเท่านั้น และนางกัญณัฏฐ์ยังพา ด.ญ.บี อายุ 14 ปี มาขายบริการทางเพศเช่นตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตามจับกุมตัวนางกัญณัฏฐ์ได้ที่โรงแรมช่อทิพย์ อ.แกลง จ.ระยอง โดยพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างประเทศ” ผบก.ปคม. กล่าว
       
       พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า จากการสอบสวนทั้งคู่ให้การรับสารภาพ ว่า ได้หลอกให้เด็กทั้งสองคนไปค้าประเวณีจริง โดยนายสิทธิชัย ให้การว่า มีเด็กในสังกัดเป็นจำนวนมาก และจะพาเด็กมาขายตัวตามโรงแรมต่างๆ พอแขกที่มาพักตามโรงแรมต้องการซื้อบริการทางเพศ ตนก็จะพาเด็กมาให้ เมื่อปี 53 ก็เพิ่งถูกตำรวจ ปคม.จับกุมในข้อหาเดียวกันที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างประกันตัว และหลบหนีคดีอยู่ ก็มาถูกจับอีก หลังจากนี้ เจ้าหน้าที่จะขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด และกวาดล้างพวกพาเด็กมาขายประเวณีใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ซึ่งมีอยู่มากให้หมดไป จากนั้น แจ้งข้อหาทั้งคู่ ร่วมกันค้ามนุษย์ โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก ตาม พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ส่วน นายสิทธิชัย แจ้งเพิ่มอีก 1 ข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
       
       ด้าน นางปวีณา กล่าวด้วยว่า ขอบคุณที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. ทำงานได้อย่างรวดเร็วจนจับกุมผู้ต้องหา และช่วยเด็กออกมาได้ จึงอยากฝากเตือนผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต เพราะจะถูกบุคคลอื่นหลอกลวงได้ง่ายเหมือนกรณีดังกล่าว
       
       เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 และมาตรา 9 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ถึง 15 ปี ปรับตั้งแต่ 160,000 บาท ถึง 300,00 บาท และข้อหา ผู้ใดปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตามกฎหมายอาญามาตรา 317(85) อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ถึง 20 ปี และแจ้งข้อหาเพิ่มนายสิทธิชัย ในข้อหามียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนเด็กหญิงเอ และเด็กหญิงบี ส่งตัวให้แก่ผู้ปกครอง โดยจะให้นักจิตวิทยาเข้าไปฟื้นฟูสภาพจิตใจต่อไป...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :3 มิถุนายน 2555 16:08 น.

โจรสาวฉกกระเป๋าเมียที่ปรึกษา มท.2 ขณะเล่นโยคะ

น.ส.ศิวพลอย เลิศหมู่มงคล อายุ 32 ปี ภรรยาของนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษานายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย กำลังเล่าเหตุการณ์ที่ถูกคนร้ายขโมยกระเป๋าขณะเข้าไปเล่นโยคะภายในห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าให้ผู้สื่อข่าวฟัง

เมียที่ปรึกษา รมช.มหาดไทยซวยถูกโจรสาวฉกกระเป๋านำบัตรเครดิตรูดซื้อทองสูญกว่า 1 แสนบาทขณะเล่นโยคะในห้างดัง ตำรวจเช็ควงจรปิดตามตัวมาดำเนินคดี 
       
       วานนี้ ( 2 พ.ค.) น.ส.ศิวพลอย เลิศหมู่มงคล อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 159/427 คอมมอนเวลคอนโด แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด ภรรยาของนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ อายุ 50 ที่ปรึกษานายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย เข้าพบ พ.ต.ท.เมธี คำวิมล รองผกก.สน.บางยี่ขัน เพื่อแจ้งความกรณีถูกลักทรัพย์ขณะเข้าไปเล่นโยคะภายในแอ๊บเซอลูทโยคะ ชั้น 14 อาคารบี ทาวเวอร์ ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
       
       น.ส.ศิวพลอย ให้การว่า  เมื่อเวลาประมาณบ่ายโมงตนได้เข้ามาเล่นโยคะ เมื่อเดินเข้ามาทางพนักงานก็ได้ให้กุญแจล็อคเกอร์หมายเลข 62  จากนั้นจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาเล่นโยคะและนำกระเป๋าถือแบบผู้หญิงวางไว้ด้านในซึ่งภายในมีประเป๋าสตางค์ 2 ใบ ข้างในมีบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย บัตรประชาชน และเงินสดประมาณ 1 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ล็อคกุญแจเพราะคิดว่าตู้ล็อคเกอร์นั้นอยู่ใกล้กับพนักงานต้อนรับและเล่นที่นี้มานานซึ่งก็ไม่เคยล็อคและก็ไม่เคยมีเรื่องของหาย จากนั้นตนจึงไปเล่นโยคะเหมือนทุกวัน เวลาประมาณ 16.00 น. จึงเดินกลับเข้ามาเพื่ออาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เดินมาที่ล็อคเกอร์เพื่อที่จะนำเงินไปชำระค่าบริการ แต่เมื่อเปิดประเป๋าถือดูก็ไม่พบกระเป๋าสตางค์ ตอนแรกตนคิดว่าคงจะลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่บ้าน
       
       "แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ไม่พบประเป๋าสตางค์ จึงรีบโทรไปอายัดบัตรทั้งหมดไว้ ซึ่งทางพนักงานของทางธนาคารแจ้งว่าบัตรมีการชำระทองคำที่ร้านรัตนสุวรรณ ชั้นจี ภายในห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยครั้งแรกมียอดชำระเป็นเงินจำนวน 76,000 บาท และครั้งที่ 2 เป็นเงินจำนวน 51,000 บาท จากนั้นดิฉันจึงไปแจ้งความ พร้อมกับเข้าขอดูกล้องวงจรปิดของทางห้างและร้านทอง พบคนร้ายเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดแซ็กสีน้ำเงิน สวมแว่นกันแดด สะพายกระเป๋าใบใหญ่สีเหลือง สวมวิกผมยาวใส่หน้ากากและเดินคุยโทรศัพท์ ก่อนเข้าร้านทองจึงถอดหน้ากากออก จากนั้นนำบัตรเดบิตและบัตรประชาชนไปยื่นซื้อทองดังกล่าว "น.ส.ศิวพลอย กล่าว
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการประสานขอกล้องวงจรปิดจากทางห้าง ที่ร้านเล่นโยคะ และร้านทอง เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

วิศวกรสาวแจ้งจับวิศวกรชายแอบถ่ายในห้องน้ำบนตึกชินฯ 2

เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน
วิศวกรเน็ตเวิร์คสาว แจ้งจับวิศวกรเน็ตเวิร์กชายบริษัทเดียวกัน แอบถ่ายคลิปทางโทรศัพท์มือถือในห้องน้ำบนตึกชินวัตร 2 หลังเกิดเหตุแจ้งเรื่องให้หัวหน้าแผนกฝ่ายชายทราบแล้ว รับปากจะตั้งกรรมการสอบให้ แต่เรื่องเงียบ จำต้องมาแจ้งความ 

      วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี อาชีพวิศวกรเน็ตเวิร์ก ตั้งอยู่เลขที่ 1291/1 ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.หญิง ชุติมา ศิริเมธาวี พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.บางซื่อ หลังจากโดนแอบถ่ายคลิปในห้องน้ำจากนายโชติวิทย์ ศุภวงศ์วรรธนอายุ 28 ปี อาชีพวิศวกรเน็ตเวิร์ก พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อเอชทีซี สีดำ จำนวน 1 เครื่อง โดยเหตุเกิดภายในห้องน้ำหญิงชั้น 9 ตึกชินวัตร 2 โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ค. เวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่ผู้เสียหายเข้าไปในห้องน้ำ ได้สังเกตเห็นว่ามีโทรศัพท์จากห้องน้ำข้างห้องยื่นมา น.ส.เอจึงตะโกนถามไปว่าใคร จากนั้นสักครู่ตัวนายโชติวิทย์บอกว่าเป็นตนเอง หลังจากออกจากห้องน้ำผู้เสียหาย จึงถามว่าถ่ายอะไร แต่นายโชติวิทย์กลับปฏิเสธบอกว่าแค่อยากรู้ว่าเป็นใครในห้องน้ำ และยังบอกกับ น.ส.เอว่าอย่าไปบอกใคร เมื่อผู้เสียหายขอดูโทรศัพท์ก็ไม่ยินยอม
       
       น.ส.เอให้การว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกับนายโชติวิทย์ในแผนกเดียวกัน หลังจากเกิดเหตุได้นำเรื่องราวทั้งหมดไปแจ้งให้หัวหน้าแผนกฟัง และหัวหน้าได้ไปพูดคุยกับหัวหน้าของนายโชติวิทย์ให้ทราบ เพื่อให้เรียกตัวมาสอบถามและให้ดำเนินการลงโทษ เมื่อสอบสวนนายโชติวิทย์ได้รับสารภาพกับหัวหน้าว่าเป็นคนถ่ายจริง โดยหัวหน้าแผนกฝ่ายชายพูดว่าจะจัดการให้ด้วยวิธีการตั้งคณะกรรมการสอบหาความผิดทางวินัยเป็นการลงโทษให้ ตนจึงได้ขอยึดโทรศัพท์ของฝ่ายชายไว้เพื่อนำมากู้ไฟล์ ปรากฏว่ามีภาพของตนจริงและยังมีภาพของหญิงสาวอีกหลายราย ซึ่งไม่ทราบว่ามาจากการแอบถ่ายเองหรือว่าโหลดมาจากคอมพิวเตอร์ กระทั่ง 2 วันผ่านไปเรื่องก็ยังเงียบไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น จึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความลงบันทึกประจำวัน เนื่องจากอยากให้นายโชติวิทย์เข็ดหลาบ เพื่อให้ทราบถึงความผิดที่ตนเองทำ และไม่ไปก่อเหตุกับหญิงสาวรายอื่นอีกต่อไป
       
       พ.ต.ท.หญิง ชุติมา เปิดเผยว่า ได้ทำการสอบปากคำทั้งหมดและลงบันทึกประจำวันไว้เรียบร้อย ซึ่งหลังจากนี้จะต้องเรียกพยานมาสอบปากคำเสียก่อนคือหัวหน้าแผนกของทางฝ่ายนายโชติวิทย์ และเรียกตัวนายโชติวิทย์มาสอบสวน เพื่อแจ้งข้อหาดำเนินการตามกฎหมาย...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

นักศึกษาพลัดตกริมระเบียง คาดฝนตกเป็นสาเหตุ


นศ.พลัดตกจากอพาร์ตเมนต์ 5 ชั้นเสียชีวิต สอบสวนเพื่อนผู้ตายให้การว่า ผู้ตายมักมานั่งเล่นตรงริมระเบียงหลังห้องอยู่เป็นประจำ คาดอาจฝนตกทำให้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ทั้งตรวจสอบห้องพักไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้น 
       
       วานนี้ (1 มิ.ย.) เวลา 21.00 น. พ.ต.ท.ปวิส นิลสุวรรณ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ลาดพร้าว รับแจ้งเหตุมีคนพลัดตกจากอาคารสูงลงมากระแทกพื้นเสียชีวิต หน้าอาคารเลขที่ 453 ซ.ลาดพร้าว 107 แยก 9 ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์จาก รพ.ตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง
       
       ที่เกิดเหตุเป็นอพาร์ตเมนต์ชื่อบ้านสวน มีความสูงทั้งหมด 5 ชั้น บริเวณด้านล่างหน้าอาคาร พบศพ นายซัมรัม อัดุลกาเดร์ อายุ 24 ปี นักศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อยู่บ้านเลขที่ 3/9 ม.1 ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส สภาพศพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำคาดเหลือง กางเกงยีนส์ขายาว ไม่สวมรองเท้า จากการตรวจสอบพบบาดแผลที่ศีรษะ ทั้งนี้ ภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้น
       
       พ.ต.ท.ปวิสเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเพื่อนผู้เสียชีวิตให้การว่า ผู้เสียชีวิตพักอาศัยอยู่ห้องพักเลขที่ 501 กับเพื่อนรวม 3 คน และผู้เสียชีวิตชอบมานั่งเล่นอยู่ตรงริมระเบียงหลังห้องอยู่เป็นประจำ โดยเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมามีฝนตกลงมาหนักมาก อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ตายพลัดตกลงมาเสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนหาสาเหตุแท้จริงต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th