This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดาราโสไฮโซร่ำไห้โฮ...หนูไม่รู้โดนหลอกไปขึ้นเตียง...

                                                      ห่าถิห่มง์ (Hà Thị Hồng) หรือห่มง์ห่า (Hồng Hà) เมื่อ 4-5 ปีก่อน ตอนเข้าวงการใหม่ๆ และเป็นนางแบบฮอตคนหนึ่ง เธอร่ำไห้สารภาพกับสื่อหลังถูกจับขายประเวณีแบบคาหนังคาเขาในโรงแรมกรุงฮานอย เธอกล่าวว่า ไปตามนัดโดยไม่รู้และไม่คิดว่าจะลงเอยแบบนั้น. -- ภาพ: VietnamExpress.


      ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ดาราสาวห่าถิห่มง์ (Hà Thị Hồng) หรือห่มง์ห่า (Hồng Hà) ร่ำไห้ขณะเปิดอกกับนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวที่ถูกจับฐานค้าประเวณี เธอกล่าวว่าถูกชายที่คบเป็นเพื่อนในวงการบอกให้ไปพบกับชายร่ำรวยคนหนึ่ง ในคืนที่ถูกจับโดยไม่คิดว่าเป็นเพียงไปพบพูดคุยกับธรรมดาๆ ไม่คิดว่าจะเอยแบบนั้น 

       คำให้สัมภาษณ์ของห่มง์ห่า ตีพิมพ์เผยแพร่ในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับในวันเสาร์ 26 พ.ค.นี้ หลังจากเธอได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้พบในวันศุกร์ที่ผ่านมา
        "แล้วหนังโฆษณาของหนูเค้าจะยกเลิกเลยหรือเปล่าคะ?" ดาราสาววัย 23 ปีถามนักข่าว ซึ่งหมายถึงภาพยนตร์โฆษณาสินค้ายี่ห้อหนึ่งที่เธอเป็นแบบให้ และออกฉายทางโทรทัศน์ในขณะนี้
        "ป่านนี้ข่าวเกี่ยวกับหนูคงสะพัดผ่านอินเตอร์เน็ตไปจนทั่วแล้วกระมัง" ดาราสาวกล่าว
        ห่มง์ห่ากล่าวว่า เธอเป็นคนโชคร้าย เกิดใน จ.ถายบี่ง (Thái Bình) อยู่กับแม่ลำพัง 2 คน คุณแม่เสียตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 ต้องหาเลี้ยงตัวเองตลอด เธอเคยเข้าประกวดนางงามหลายเวทีแต่ไม่เคยได้รางวัลอะไรกับเขา แม้กระทั่งแสดงภาพยนตร์แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่จะเลี้ยงชีพได้
       เธอกล่าวว่าผู้สร้างผู้กำกับจ่ายค่าตัวให้เพียงเรื่องละ 500 ดอลลาร์ เนื่องจขากแสดงเป็นเพียงตัวประกอบหรือได้รับบทเพียงเล็กๆ น้อยๆ และ ถ่ายแบบลงนิตยสารแต่ละครั้งก็ได้ค่าตอบแทนเพียง 1 ล้านด่ง (ประมาณ 50 ดอลลาร์) ที่ผ่านมาจึงไม่สามารถจะใช้ชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ออกงานดินเนอร์ หรืองานแฟชั่นโชว์อย่างดารานักร้องที่มีชื่อเสียงได้ แต่ปัจจุบันเธอก็มีงานทำมั่นคงเป็นหลักเป็นแหล่ง



ก่อนดาวจะดับ
VietnamExpress/Ngoi Sao








คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตำรวจได้ออกตรวจค้นโรงแรมในกรุงฮานอย เธอกล่าวว่าวันนั้นเธอเดินทาง (จากนครโฮจิมินห์) เข้าเมืองหลวงเพื่อไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งและได้รับการติดต่อจากเหวียนจุงเกียน (Nguyễn Trung Kiên) ที่รู้จักผ่านเพื่อนคนหนึ่งเมื่อ 2-3 เดือนก่อน เธอตกลงไปพบ "ลูกค้า" คนหนึ่งที่โรงแรมแห่งนั้น ซึ่งจะได้รับเงินระหว่าง 1,000-1,500 ดอลลาร์
        เมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นโรงแรมเซินเติย (Sơn Tây) ในเขต อ.บาดี่ง (Ba Đình) ก็ได้พบชายหญิงสองคู่กำลังเริงรักกันในห้องพัก 2 ห้อง ห่มง์ห่ารวมอยู่ในนั้นด้วย หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋รายงาน
       "หนูคิดว่าการไปพบครั้งนี้ จะเป็นเพียงการออกไปเที่ยวด้วยกันกับลูกค้าที่เขาพูดถึงซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนสูงขนาดนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไป แต่หนูไม่เคยคิดว่าจะลงเอยแบบนี้ จะถูกจับแบบคาหนังคาเขาเช่นนี้" ดาราสาวสารภาพ
        อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่ได้คุมขังเธอ หลังสอบปากคำแล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้
       ถูกจับแบบ "คาหนังคาเขา" พร้อมกับหมง์ห่า คือเจิ่นห่มง์จาง (Trần Hồng Trang) สาววัย 23 ปีชาวฮานอย แม้เธอจะไม่มีหุ่นสวยของนางแบบเช่นห่มง์ห่า แต่ก็มีใบหน้าที่สวย และยิ้มหวานประทับใจ หญิงสาวสารภาพอย่างไม่อายว่า รู้จักกับนายเกียนแมงดาวัย 26 ปีมานาน ทุกครั้งที่เกียนติดต่อลูกค้าฐานะดีได้ ก็จะติดต่อใช้บริการของเธอเสมอ







ระหว่างนักข่าวสอบถามห่มง์ห่ากับห่มง์จางอยู่นั้น นายเกียนซึ่งร่วมอยู่ในวงด้วยได้พยายามพูดแย้งเป็นระยะๆ และขอร้องมิให้หญิงสาวทั้งสองพูดถึงรายละเอียดใดๆ ในชั้นนี้ จางได้แต่ยิ้มและเชื่อฟัง เตื่อยแจ๋กล่าว
        เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายเกียนและการสอบปากคำในชั้นต้นได้พบว่า เขามีหญิงสาวหน้าตาดีหุ่นดีในสังกัดกว่า 20 คน เขากล่าวว่าทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ปี 2552 โดยพยายามรู้จักการเหล่าดารา นักร้อง นางแบบ ตลอดจนสาวนักศึกษาทั่วไปอย่างกว้างขวางที่สุด เพื่อหาโอกาสหยิบยื่นโอกาสที่จะได้ทำงานเบาและรายได้ดีให้
       ตำรวจกล่าวว่า นางแบบในสังกัดเอลีทโมเดลกับวีนัสโมเดล เป็นที่หมายตาของนายเกียนเป็นพิเศษ เนื่องจากหญิงสาวเหล่านี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีผ่านทางสื่อต่างๆ
       แมงดาหนุ่มรายนี้ได้เข้าคลุกคลีตีโมงกับผู้คนในแหล่งพบปะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดิสโกเทกใหญ่ คาเฟ่ โรงภาพยนตร์ทั้งในฮานอยและโฮจิมินห์ เพื่อหาลูกค้าให้กับหญิงสาวเหล่านี้ ซึ่งรวมทั้งหลายคนที่เป็นนางงามตกรอบด้วย ตำรวจกล่าว
       ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส นายเกียนเป็นเพียงบุคคลเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งฟ้องฐานเป็นผู้่จัดการให้มีการค้่าประเวณีและจัดหาหญิงสาวให้ค้่าประเวณี.


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th



วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ล้อเลียนพระพุทธเจ้า... ไม่หยุด ไม่เลิก

                                            ธุรกิจล้อเลียนพระพุทธศาสนา นิยมไปทั่วโลก
“ไอ้พวกฝรั่งโรคจิต” “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กับพระกับเจ้ายังเอามาเล่น” “ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่ใช่ชาวพุทธแหงๆ จิตใจตกต่ำจริงๆ” “ขอให้กรรมตามสนองมัน” และอีกสารพันคำด่าสาดเสียเทเสียบนโลกออนไลน์เมื่อภาพ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ถูกส่งต่อจนกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อต้นเดือนแล้ว ในตอนที่ข่าวนี้ยังเป็นที่สนใจของสื่อทุกแห่ง ผู้เกี่ยวข้องต่างทำงานตัวเป็นเกลียว ติดตามเสาะหาคนผิดอยู่พักหนึ่ง แต่ท้ายสุดเรื่องก็เงียบไปตามระเบียบ... 
       ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “ชาวพุทธ” และไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อการย่ำยีพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกขณะนี้ได้ นั่นแสดงว่าวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ คุณมีนัดเสียแล้ว!
                                          ลูกอม Sweet nik's Buddha lollipop สัญชาติอเมริกัน
  ดึงพระพุทธองค์ลงที่ต่ำ 
       เก่าเกินไปแล้วที่จะมานั่งพูดถึงแค่ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ซึ่งเคยเป็นประเด็นร้อน ชักชวนให้ผู้คนเข้ามาด่าทอ หาตัวคนปั้นกันให้ว่อนเน็ต เพราะเดี๋ยวนี้พฤติกรรมล้อเลียนพระพุทธศาสนามีให้เห็นตื่นตาตื่นใจกันยิ่งกว่านั้นอีก เรียกได้ว่ายิ่งเสิร์ชยิ่งเจอ ยิ่งอยู่เมืองนอกยิ่งเห็น แถมยังทำกันเป็นธุรกิจ อัปเดตอยู่ตลอดจนตามความเคลื่อนไหวกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะถูกนำมาประดับลงบนของใช้ กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านไปเสียได้ ทั้งยังขายดิบขายดีในตลาดสากลจนน่าใจหายอีกด้วย
       เริ่มตั้งแต่ส่วนเศียรของพระพุทธรูปที่ได้รับความนิยมในธุรกิจแฟชั่นอย่างมาก พระพักตร์ที่ชาวพุทธมองว่าน่าเคารพนับถือกลับกลายเป็นลายเส้นทรงเสน่ห์ ดึงดูดให้นักออกแบบเลือกมาใช้เป็นลายผ้า สกรีนลงบนเสื้อ กางเกง กระโปรง ย่าม หนักข้อไปจนถึงถุงเท้า รองเท้า เสื่อมถึงขนาดถูกนำไปใช้บนกางเกงในจีสตริง!
       “เราได้รับร้องเรียนเรื่องการนำเอาสัญลักษณ์พระพุทธเจ้าไปเป็นเครื่องหมายสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นระยะ ตั้งแต่ปี 2549 ฝรั่งเศสเอารูปเศียรพระไปประดับเครื่องนอน ปี 2550 สหรัฐอเมริกานำพระพุทธรูปไปประดับบาร์และเครื่องหมายสินค้าบนกางเกงในจีสตริง ต่อมาสวีเดนนำไปเป็นเครื่องหมายสินค้าสำหรับเด็ก สาธารณรัฐเช็กนำไปเป็นเครื่องหมายร้านนวดแผนไทย และถูกใช้เป็นเครื่องหมายประดับรองเท้าด้วย” อภิวัฒน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง รักษาการผู้อำนวยการกองประมวลและวิเคราะห์ข่าว กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ 
       ด้วยข้อจำกัดเรื่องกฎหมายข้ามชาติจึงทำให้ประเทศไทยไม่สามารถจัดการกับมารศาสนาในต่างแดนได้อย่างที่ใจคิด สุดท้ายผู้กระทำผิดก็ยังคงลอยนวลรับทรัพย์จากการเหยียบย่ำความเชื่อของชาวพุทธกันต่อไป เมื่ออดทนต่อสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงเกิดการรวมพลังตั้งองค์กร “Knowing Buddha” ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้ ป้องกัน และยับยั้งการกระทำย่ำยีพระศาสนาโดยเฉพาะ ล่าสุดได้สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมครั้งใหญ่จากการเปิดเผยข้อมูลที่คนไทยอาจไม่เคยรู้
          “เราไปเจอการค้าขายของต่างชาติที่หมิ่นศาสนาอย่างมากเลย มีทั้งลูกอมรูปเศียรพระพุทธเจ้า, บริษัท “The Dog Buddha” ที่จงใจเอาชื่อพระพุทธเจ้าไปล้อเลียน แถมยังใช้เป็นสัญลักษณ์ธุรกิจของเขา เอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธรูป, หนังเรื่อง “Hollywood Buddha” ที่ใช้รูปโปรโมตน่าตกใจมาก ให้คนขึ้นไปขี่บนเศียรพระพุทธเจ้า คิดดูสิ! มันใช่ที่นั่งแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าใช้อวัยวะส่วนไหนไปคิดออกมาได้ หรือแม้แต่หนังของ Disney เรื่อง “Snow Buddies” ที่ตั้งชื่อสุนัขว่า Buddha แถมยังฉายให้เด็กๆ ดูกันในวงกว้างด้วย” 
         “อันนี้สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องใช้หมามาสอนเรื่องสมาธิด้วย หมาเป็นสัตว์เดียรัจฉานนะคะ ถ้าจะบอกว่ามันน่ารักดี น่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้ ก็ต้องถามว่าเขาไม่มีตัวเลือกอย่างอื่นแล้วเหรอ มันเป็นความบันเทิง เน้นความสนุกสนานก็จริง คนทำน่ะสนุก แต่คุณรู้ไหมว่ากำลังย่ำยีหัวใจของคนนับถือพุทธศาสนาทั่วโลก หรืออย่างการเอาเศียรพระพุทธเจ้ามาทำเป็นลายเสื้อผ้า เราเองก็พยายามจะมองให้เป็นเรื่องของศิลปะ มองให้เห็นเป็นแค่ภาพวาด ภาพสกรีน ให้ตัดขาดจากการเอ่ยถึงพระพุทธเจ้า แต่มันไม่ได้จริงๆ แค่ตอนซักผ้าแล้วซักปนกันก็กลายเป็นของต่ำไปแล้ว” ดร.จุฬานี เกตุศร ผู้ดูแลสื่อต่างประเทศ องค์กร Knowing Buddha พูดอย่างตรงไปตรงมา
                                         ภาคต่อ Air Bud มีสุนัขชื่อ Buddha
ตัวเป็นพระ หัวเป็นหมา
       ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขอย่าง Alanna Cha Sin หยิบเอาพระพุทธเจ้าและสุนัขมารวมกันได้ ทั้งๆ ที่ดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Snow Buddies ของดิสนีย์ที่ตั้งชื่อสุนัขตัวหนึ่งในเรื่องว่า Buddha ไม่ว่าจะพยายามมองมุมไหน ความหมายที่สื่อออกมาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ The Dog Buddha แปลตามตัวก็คือ “หมาพระพุทธเจ้า” หรือ “พระพุทธเจ้าเป็นหมา” นั่นเอง
       “เห็นชัดๆ เลยว่าเขามีเจตนาจะลบหลู่ อยู่ดีๆ เขาจะดึงเอาสัตว์มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทำไมถ้าไม่ได้มีเจตนาย่ำยีศาสนาของเรา ยกตัวอย่างในทำนองเดียวกัน สมมติว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับศาสนาอิสลาม นำพระอัลเลาะห์มาล้อเลียนชื่อหมา เรียกว่า The Dog อัลเลาะห์ ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือตั้งชื่อหมาเป็นเยซู คิดว่าชาวคริสต์ทั้งหลายจะทำอย่างไรกับบริษัทนี้ แต่เผอิญเขาทำกับพระพุทธเจ้าได้เพราะว่าพวกเราชาวพุทธอ่อนแอไงคะ
        “เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าพระพุทธองค์ไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะมาย่ำยีได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธเจ้ายังไงก็ได้ตามใจ ลองคิดดูว่าถ้าเกิดเป็นตัวคุณเองล่ะ ถ้ามีใครปั้นหุ่นเป็นรูปหน้าคุณแล้วเอาไปใส่ไว้ในตัวหมา คุณจะรู้สึกยังไง แล้วก็ตั้งชื่อคุณเป็นแบบเจ้าตัวนั้นเลย ยังจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่น่ารักน่าให้อภัยอยู่อีกไหม ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาไปในทางไหน ดีหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อมีชาวพุทธออกมาป่าวประกาศ แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านสิ่งที่คุณทำว่ามันไม่ดีนะ คุณก็ควรจะหันกลับมามองแล้วล่ะว่าตัวเองทำไม่ดีจริงหรือเปล่า” ดร.จุฬานี เลขาธิการมูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต ยังคงบอกเล่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างที่เป็นมาตลอดการสนทนา
                                                     แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป 
        หากลองมองในแง่ดีแสนดีสักครั้ง ธุรกิจดังกล่าวอาจนำทางลูกค้าของพวกเขาให้มาสนใจในพระพุทธศาสนาก็เป็นได้ เริ่มจากความสงสัยในรูปลักษณ์แปลกๆ ของผลิตภัณฑ์ สืบค้นหาข้อมูลต่ออีกสักหน่อยก็จะรู้ว่ามีที่มาและอาจก่อเกิดเป็นความศรัทธาขึ้นมาได้ แต่โอกาสที่พูดถึงคงมีสิทธิเกิดขึ้นได้แค่ 1 ในล้านหรือไม่เกิดขึ้นเลยมากกว่า 
        “ส่วนมากพอซื้อไปแล้วก็สนใจแค่เรื่องราคากับสถานที่ซื้อแหละ แต่ถ้ามีคนอยากรู้จักพระพุทธศาสนาจากสินค้าพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ โลกเราทุกวันนี้มันคงไม่เสื่อมเท่านี้หรอกค่ะ สิ่งที่พยายามทำอยู่ตอนนี้คือออกมาแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องพระศาสดาของเรา ทำให้ชาวต่างชาติรู้ว่า เอ้อ! ไม่ได้แล้วนะ มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาปกป้องพระพุทธศาสนาแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังดีๆ ส่วนคนที่ทำผิดอยู่ก็น่าจะช่วยให้เขาหยุดแล้วก็ถอยออกมามองว่าจะทำยังไงต่อไปดี เราตั้งใจจะประกาศให้เขารู้ไปเลยว่าเราจะไม่หยุดจนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงการกระทำของคุณซะ!” 

ดื้อด้านไม่แก้ไข
       ก่อนที่จะตัดสินว่ากลุ่มธุรกิจที่ถูกอ้างถึง จงใจเหยียบย่ำพระพุทธศาสนาของเรา ทางองค์กรเคยวางจุดยืนให้เป็นคนคิดบวกเอาไว้ก่อนเสมอ คือพยายามคิดว่าส่วนใหญ่ทำผิดไปด้วยความไม่เข้าใจ เนื่องจากวัฒนธรรมและศาสนาแตกต่างกัน แต่หลังจากส่งจดหมายไปชี้แจงต่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมด จึงเป็นอันคอนเฟิร์มว่าน่าจะเกิดจากพฤติกรรมของคนที่รู้แต่ยังทำมากกว่า
        “อย่างบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขบนหน้าเฟซบุ๊ก พอเราส่งข้อความไปเตือน เขาบล็อกเราทันทีเลย ตอนหลังก็บล็อกทุก user ที่มาจากประเทศไทยด้วย มีคนต่างชาติที่ได้มาอ่านเว็บไซต์ knowingbuddha.org ของเราแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาก็ช่วยกันส่งจดหมาย ส่งคอมเมนต์ไปถึงบริษัทนี้ ปรากฏว่าถูกบล็อกเหมือนกัน แสดงว่าเจ้าของบริษัทไม่สนใจคำชี้แจงของเราแล้วล่ะ" 
       "ตอนหลัง อ.พิมพ์พิษา ติณพาฤทธิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรลองโทร.ไปคุยกับเขา ตอนแรกคุยกันเรื่องงานปั้นก็คุยดี พอเข้าเรื่องพระเศียรพระพุทธเจ้า เธอวางหูใส่ทันทีเลย แสดงว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำอะไรอยู่แต่ไม่คิดจะแก้ไข ส่วนบริษัทที่ทำอมยิ้มรูปพระเศียร ตอนนี้เขาเอาภาพออกจากเว็บขายของแล้ว แต่เชื่อว่าน่าจะยังผลิตอยู่ เพราะไม่มีการตอบรับอะไรกลับมาเลย”
                                           อย่าทำอย่างนี้! 
        สาเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกรายใช้กลยุทธ์นิ่งไว้ก่อนและไม่แก้ไขอะไรเลย อาจเป็นเพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่สร้างขึ้นจนติดตลาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าลองตัดเรื่องผลประโยชน์ออกไปแล้วมองด้วยสายตาที่เป็นธรรมสักนิด จะรู้ว่าการค้าที่เหยียบย่ำอยู่บนความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้ว มีแต่จะสร้างศัตรูให้มีมากขึ้นด้วย และไม่ว่าจะถลำลึกไปไกลสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ารู้จักยอมรับผิด ก็พร้อมมีคนให้อภัยเสมอ อย่างที่ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Hollywood Buddha ได้รับมาแล้ว
         “เขาเขียนจดหมายกลับมาขอโทษพวกเราเลย แต่จะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ต้องคอยดูกันต่อไป ตอนนี้เราก็มีคนช่วยเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีคนต่างชาติหลายคนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเศียรพระพุทธรูปที่วางประดับอยู่ในร้านอาหาร ทางเท้า ห้องน้ำ หรือทำเป็นที่วางหมวก หลายสิ่งที่เขาเคยเห็นเป็นการย่ำยีหรือดูถูกพระพุทธเจ้า แต่หลังจากเข้าไปอ่านข้อมูลและรู้แล้ว เขาตกใจมากนะ หลังจากนั้นก็ช่วยกันออกมาปกป้อง บางคนเดินเข้าไปบอกร้านอาหารร้านนั้นเลย ช่วยเขียนจดหมายชี้แจง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เราทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็หวังว่าจะมีคนแบบนี้อีกเยอะๆ ที่จะเข้ามาช่วยเรา
       อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มมองว่าการออกมาต่อต้านแบบนี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสุดท้ายแล้วแก่นของศาสนาจริงๆ ก็อยู่ที่หลักธรรมคำสอนเพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเดือดเนื้อร้อนใจไปกับพระพุทธรูปซึ่งถือเป็นวัตถุ เป็นเพียงรูปธรรม มีความหมายแค่เปลือกเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ “ปล่อยวาง” เสียก็สิ้นเรื่อง แต่ตัวแทนองค์กรต่อต้านการย่ำยีพระพุทธศาสนายังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อย่างนั้นคงไม่ได้หรอกค่ะ อย่าลืมสิว่าเขามาย่ำยีพระพุทธศาสนาของเรา”
 
       “อันนี้เป็นเรื่องจริงตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลย มีพราหมณ์องค์หนึ่งเดินไปเจอกับพระพุทธเจ้า ชี้หน้าด่าเลยว่า “คนถ่อย” ทั้งที่พระพุทธเจ้าก็สอนพวกเราว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงย้อนกลับไปหาพราหมณ์คนนี้แล้วทรงอธิบายให้ฟังว่า อาตมาไม่ใช่คนถ่อยนะ คนถ่อยคือคนผิดศีลนะ แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น พราหมณ์คนนั้นตะลึงเลยแล้วก็ขอโทษขอโพย" 
       "คิดดูว่าพระพุทธเจ้าท่านยังปกป้องตัวท่านเองในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่าท่านปกป้องด้วยการให้ความรู้กับเขา ให้เขาได้คิด ใช้สติไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจ พราหมณ์คนนั้นถึงได้เลิกคิดผิดๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากพระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้แล้วมีคนมาเรียกท่านว่า The Dog Buddha หรือตั้งชื่อหมาว่า Buddha ท่านก็ต้องออกมาเทศนาตักเตือนเหมือนกัน
เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่! 
       “ถ้าคุณเป็นชาวพุทธจริงๆ ลองไปเปิดหน้าเว็บแล้วเห็นการย่ำยีที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดทุกวันนี้แล้วคุณจะรู้สึกเสียใจ” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดร.จุฬานีและผู้ร่วมอุดมการณ์ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องคอยเติมเชื้อไฟในเรื่องนี้ในคุกรุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าแรงส่งในประเทศไทยเองจะใกล้มอด แทบหมดสิ้นความหวังเต็มทีแล้วก็ตาม
        “เห็นหนทางริบหรี่มากสำหรับคนไทยเอง ทั้งที่อยู่ในไทยและที่อยู่เมืองนอกเลย แต่เราก็ไม่ได้ถึงกับหมดหวังนะคะ ยังพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องเตรียมรับมือยังไงในฐานะชาวพุทธด้วยกัน ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ใช่ชาวพุทธเทียมหรือเป็นชาวพุทธแค่ในกระดาษแค่ประกาศเอาไว้ในประวัติทางราชการว่าพ่อแม่ฉันเป็นพุทธ ฉันก็เป็นพุทธ โดยอาจจะไม่เคยใส่ใจอะไรเลยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คือถ้าอย่างน้อยๆ ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธตัวจริง ต้องให้เขารู้ว่าเขาก็มีหน้าที่ในการปกป้องศาสนาพุทธด้วยเหมือนกัน
               
       อาจเป็นเพราะพุทธศาสนิกชนชาวไทยไม่เคยชินกับหน้าที่ปกป้องศาสนา ส่วนใหญ่โตมากับพิธีกรรม เข้าวัด ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ โดยไม่เคยสนใจว่าหน้าที่ที่แท้จริงของชาวพุทธคืออะไร พอมีปัญหา ก็หันหน้าเข้าพึ่งศาสนา ขอให้ร่ำรวย ให้พ้นเคราะห์ ขอให้มีความสุข แต่พอศาสนาต้องการที่พึ่งบ้าง เรากลับเดินหนี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องของฉัน และอาจเป็นเพราะหลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัว แต่จริงๆ แล้วแค่เสียงเสียงเดียวจากทุกคนก็มีความหมาย ทุกคนช่วยกันได้เสมอถ้าคิดจะทำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายในประเทศไทยเองที่ควรกระตุ้นจิตสำนึกในตัวให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
       
       
       เริ่มที่พ่อค้าแม่ค้าคนไทยในถนนข้าวสารก็ได้ เสื้อสกรีนลายพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปวางแบกะดินที่คุณเอามาขาย มันทำให้ชาวต่างชาติที่มาเดินดูเขาคิดว่าเราไม่ถือ สามารถเอาไปประดับตกแต่งได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ความรู้แก่คนทำธุรกิจตรงนี้ ให้เขาคิดได้ว่ามันไม่เหมาะสมนะ ถ้าเกิดมีฝรั่งมาขอให้สกรีนเสื้อลายเศียรพระพุทธเจ้าให้หน่อย อยากให้เขาปฏิเสธและอธิบายว่าทำไม่ได้นะ เพราะอะไร ถ้าทำได้อย่างนี้ก็แสดงว่าการปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกเป็นผลสำเร็จแล้วล่ะ คือเลือกความถูกต้องเหมาะสมเป็นที่ตั้งก่อนเรื่องเงินเรื่องทอง” 
        
       
       “พออธิบายให้ชาวต่างชาติฟัง ก็ต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้คนไทยด้วยกันเองฟังด้วย จริงๆ แล้วเริ่มจากคนไทยก่อนนี่แหละดี ถ้าเราสามารถพูดให้คนบ้านเราตื่นตัวขึ้นมาได้ มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมบางอย่างในสังคมขึ้นมาแน่นอน อย่างวลีที่ว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” ทำไมคนพูดกันได้เป็นหมื่นเป็นแสนคน เดือดร้อนแทนเด็กแทนครูอังคณากันทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน มีคนมาย่ำยีศาสนาของเรา ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนบอกต่อบ้างเลย บอกบ้างสิว่า “เรื่องนี้ถึงสำนักสงฆ์แน่” หรือ “เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่” แต่นี่ไม่มีเลย” ดร.จุฬานี ไม่ลืมยกตัวอย่างตามเทรนด์
                      ตอนนี้ทางองค์กร Knowing Buddha ได้วางแผนให้เรื่องนี้ถึงสื่อต่างประเทศเอาไว้แล้ว มีทั้ง CNN หนังสือพิมพ์ Time และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอีกหลายหัว เพื่อประกาศจุดยืนในการปกป้องพระพุทธศาสนาอีกครั้งวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยวิธีเดินขบวนธรรมยาตราจากราชประสงค์ถึงสยามสแควร์ แล้วนั่งบีทีเอสไปลงสวนจตุจักร สุดท้ายไปจบที่ถนนข้าวสาร แหล่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ 
       ส่วนความเคลื่อนไหวในต่างแดนนั้น อาจเริ่มติดต่อทางลอสแองเจลิสซึ่งมีชาวอเมริกันที่นับถือศาสนาพุทธอยู่จำนวนมากก่อน ต่อด้วยแคนาดา ญี่ปุ่น แม็กซิโก สเปน ฯลฯ ถ้ายิ่งสามารถรวมเอากลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศต่างๆ ให้ออกมาต่อต้านการกระทำย่ำยีศาสนามากขึ้นเท่าไหร่ เชื่อว่าจุดยืนที่ต้องการจะสื่อสารออกไปจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น 
        “คงไม่ต้องถึงขั้นเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ แค่รู้สึกรักและเคารพในศาสนาของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธก็พอ แค่ออกมาแสดงตัวให้ชัดเจนเรื่องการปกป้อง เพราะถ้าเราไม่ช่วยกันก็คงไม่มีใครช่วยแล้ว จะมานั่งเฉยปล่อยให้คนอื่นย่ำยีศาสนาเรา ทนได้เหรอ ก็เหมือนเวลามีคนมาด่าพ่อแม่เรา ด่าในหลวงของเรา ถ้าเรานั่งทำตาปริบๆ ก็แสดงว่าเราไม่ได้รักท่านจริงแล้วล่ะ ก็ทำนองเดียวกันค่ะ ถ้าเรารักพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องออกมา!

---ล้อมกรอบ---
       อย่าทำ!
       ห้ามไม่ให้ประพฤติดูหมิ่นหรือกระทำไม่ดีใดๆ ต่อพระพุทธเจ้า
       ไม่วางหรือนำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในที่ๆ ไม่สมควร เช่น ไปสกรีนไว้ในผ้าเช็ดหน้า,ผ้าเช็ดปาก,ผ้าขนหนู, พรมเช็ดเท้า, พรมต่างๆ, หรือในอุปกรณ์การทำความสะอาดทั้งหลาย รวมถึงของเล่น, เฟอร์นิเจอร์ และไม่นำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในส่วนล่างของร่างกาย เช่น กางเกง,กระโปรง, รองเท้า ฯลฯ เพราะชาวพุทธที่แท้จริงจะรู้สึกทุกข์ใจและไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากเห็นผู้ใดกระทำย่ำยีต่อพระรูปของพระศาสดาเช่นนี้ 
       ไม่วางพระพุทธรูป หรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งเฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่ง เช่น ไม่เอาพระพุทธรูปหรือรูปปั้น ไปวางไว้ที่โต๊ะกลางของชุดเฟอร์นิเจอร์ ไม่วางไว้ในห้องน้ำ, ในบาร์ หรือร้านอาหาร ประดุจพระพุทธรูปเป็นเพียงของตกแต่ง 
       ไม่ปฏิบัติต่อพระพุทธรูปหรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งสินค้า หากมีการซื้อขาย ให้เป็นไปเพื่อบูชาที่บ้านหรือในสถานที่อันควร
       ไม่นำชื่อพระพุทธเจ้าไปใช้อย่างดูถูกดูหมิ่น เช่น การตั้งชื่อร้านไอศกรีมว่า Buddhi Belly
       ไม่ล้อเลียนพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องอื่นใด เช่น การทำภาพโปสเตอร์โดยมีผู้ชายนั่งอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูป 
       ไม่นำรูปพระพุทธเจ้าหรืออื่นใดที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ มาเป็นรอยสักตามร่างกาย
       
       ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
       ภาพจาก องค์กร Knowing Buddha (knowingbuddha.org)

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :25 พฤษภาคม 2555 20:49 น.



วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จ.ชลบุรี ล่าแก๊งค้ามนุษย์จับเด็กเขมรเฉือนลิ้นเร่ขอทาน


เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งเบาะแสว่า ที่บ้านพักฟื้นเด็กชายแห่งหนึ่ง ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับตัวเด็กชายขอทานชาวกัมพูชาวัย 7 ปี (ขอสงวนนาม) ที่พิการลิ้นขาดและมีร่องรอยการผ่าตัดที่ลำคอ คล้ายกับถูกตัดกล่องเสียง มาฟื้นฟูสภาพจิตใจ โดยหนูน้อยรายนี้ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมตัวขณะเร่ร่อนขอทานอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2554 จึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
   เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า หลังรับตัวเด็กจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงกลางปีก่อน พบว่าเด็กมีอาการหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา และสื่อสารอย่างยากลำบาก เพราะไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ เจ้าหน้าที่ต้องคอยดูแลสภาพความเป็นอยู่อย่างใกล้ชิด ดูแลประคบประหงมไม่ห่าง จนเด็กเริ่มไว้ใจไม่หวาดกลัว ต่อมาในช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติ (ศปคม.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาสอบปากคำเด็กชายคนดังกล่าว
   จากการสอบสวนผ่านล่าม โดยให้เด็กชี้กระดาษคำตอบ ที่เขียนคำว่า “ใช่” และ “ไม่ใช่” เป็นภาษากัมพูชา เอาไว้ ได้ทราบเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจว่า เด็กชายรายนี้เป็นชาวกัมพูชา จากนั้นได้ถูกนำตัวข้ามมาขอทานในฝั่งประเทศไทย โดยช่วงที่อยู่ในกัมพูชานั้น สามารถพูดจากับเพื่อนๆได้เหมือนปกติ แต่พอข้ามมาฝั่งไทย หนูน้อยให้ข้อมูลว่าไม่สามารถพูดได้ และชี้ไปที่ลิ้นอันกุดสั้นของตัวเอง ด้วยแววตาที่หวาดผวา ส่วนที่คอของเด็กรายนี้ ยังพบร่องรอยแผลเป็นขนาดกว้างเท่านิ้วก้อย ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ว่า มีการทารุณกรรมเด็กด้วยการตัดลิ้นหรือผ่ากล่องเสียงออกจนพิการเป็นใบ้ เพื่อเรียกความสงสารจากผู้คนระหว่างตระเวนขอทาน นอกจากนี้ เด็กยังระบุว่ามีเพื่อนวัยเดียวกัน ที่แขนขาดขาขาดอยู่ในกลุ่มด้วย
  เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เด็กรายนี้และเพื่อนที่ถูกบังคับให้ขอทาน  เป็นเหยื่อแก๊งค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวเด็กมา แล้วทำทารุณกรรมด้วยการตัดลิ้น แขน ขา ทำให้พิการ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมและเรียกความสงสารจากคนใจบุญทั่วไปในการขอเงิน เจ้าหน้าที่จะได้กระจายกำลังสืบสวนจับกุมคนร้ายขบวนการนี้อย่างไม่ลดละต่อไป
   มีรายงานข่าวเพิ่มเติม ระบุว่า ในช่วงที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เดินทางไปกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ หรือ COMMIT ครั้งที่ 3 ร่วมกับรัฐมนตรีจากประเทศกัมพูชา จีน พม่า ลาวและเวียดนามที่เป็นเจ้าภาพการประชุม  เมื่อวันที่ 15-16 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีการหยิบยกเรื่องราวของเด็กขอทานเหยื่อแก๊งค้ามนุษย์มาหารือ หลังจากนั้น ทาง พม.ได้ประสานให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เร่งสืบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว.



 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
 www.legendnews.net
 www.manager.co.th
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


ข่มขืน-ยิงซ้ำสาวเบญจเพส - สลดเปลือยกาย


วันที่ 9 เม.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ร.ต.อ.จรูญ สังขารา ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีผู้หญิงถูกข่มขืน และถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณ ถ.น้ำผุด ซ.2 ต.ทับเที่ยง เขตเทศบาลนครตรัง หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจปราบปราม และชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลสถานตรัง
    เมื่อไปถึงพบเพียงคราบเลือดอยู่ริมถนน ห่างกันเล็กน้อยภายในสวนผลไม้ บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 30/42 พบคราบเลือด 3 จุด ทั้งที่บนโต๊ะม้านั่งหินอ่อน เก้าอี้ และบนพื้น รวมทั้งยังพบซองบุหรี่ ก้นบุหรี่ ชุดแซค กางเกงใน และรองเท้าผู้เสียหาย ส่วนผู้บาดเจ็บถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวส่ง โรงพยาบาลศูนย์ตรังไปก่อนหน้านี้แล้ว ทราบชื่อคือ น.ส.ไก่ (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี ชาว จ.ตรัง มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาด เข้าที่บริเวณหน้าท้องกระสุนทะลุสะเอวด้านหลัง จำนวน 1 นัด ซึ่งแพทย์ได้ผ่าตัดช่วยชีวิต ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว
    สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายตรวจปราบปราม สภ.เมืองตรัง และชาวบ้าน พบเห็นหญิงสาวคนดังกล่าวเดินสูบบุหรี่บ่นพึมพึมอยู่คนเดียว ที่บริเวณหน้าโรงแรมซีซาร์ ถ.เพลินพิทักษ์ และข้างโรงแรมธรรมรินทร์ธนา ถ.ห้วยยอด ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. ชาวบ้านละแวกดังกล่าว ได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น จำนวน 1 นัด แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมักจะมีเสียงปืนดังขึ้นประจำ กระทั่งเมื่อตอนรุ่งเช้า มีชาวบ้านขับรถผ่านมาเห็น น.ส.ไก่ (นามสมมุติ) ในสภาพเปลือยกาย และมีบาดแผลถูกยิงได้รับบาดเจ็บนอนร้องครวญครางขอความช่วยเหลือ จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าว
    เบื้องต้นจากการตรวจสอบประวัติพบว่า หญิงสาววัยรุ่นที่เคราะห์ร้ายดังกล่าวเป็นคนหน้าตาดีและผิวขาว ที่ผ่านมาเสพสารระเหยจนสมองและสติฟั่นเฟือนไม่ปกติ และญาติเคยนำส่งไปบำบัดรักษาสภาพจิตมาแล้ว แต่ไม่หายขาด โดยก่อนเกิดเหตุคาดว่าได้ถูกคนร้ายขี้ยาไม่ทราบจำนวนล่อลวงมาข่มขืนภายในสวนผลไม้ดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่หลังจากข่มขืนจนสำเร็จความใคร่แล้ว น่าจะถูก น.ส.ไก่ ด่าด้วยความถ้อยคำหยาบคาย จึงทำให้คนร้ายไม่พอใจและใช้อาวุธปืนยิงจนได้รับบาดเจ็บ
    ต่อมาหลังจากคนร้ายหลบหนีไปแล้ว น.ส.ไก่ (นามสมมุติ) ก็ได้กระเสือกกระสนคลานออกจากหน้าบ้านดังกล่าวมาที่ริมถนน ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 5 เมตร เพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ช่วยเหลือ ทั้งนี้ จากการสอบปากคำญาติของ น.ส.ไก่ ในเบื้องต้น ยังไม่ได้รายละเอียดอะไรมากนัก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีต่อไป...



 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
 www.legendnews.net
 www.manager.co.th
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

จ.นครปฐม จับยกทีมฆ่า เผาสาวเคเบิล อ้างปล้นทรัพย์


ภ.7 รวบ “4 ผู้ต้องหา” ฆ่าแล้วเผา “สาวเคเบิล” ขณะหนีกบดานคาสถานีรถไฟราชบุรี รับสิ้นหวังปล้นทรัพย์ แต่กลัวความผิดจึงชวนรุ่นน้องร่วมทำแผนให้เป็นไฟฟ้าลัดวงจรไฟไหม้เพื่อทำลายศพ จากนั้นจะหลบหนีไปภาคใต้เพื่อไปหางานทำ หวังให้เรื่องเงียบแล้วค่อยกลับมา..
   จากกรณี น.ส.ณิชมล หรือ “ตู้” นิ่มเดช อายุ 22 ปี เจ้าหน้าที่ฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นครปฐมเคเบิลทีวี ถูกคนร้ายฆ่าแล้วเผาอำพราง นอนเสียชีวิตอยู่บนโซฟา ภายในห้องเช่าหลังที่ทำการ อบต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยใช้ผ้าห่มนวมห่อศพแล้วใช้น้ำมันก๊าซราดก่อนจะเผา แต่เดชะบุญที่ชาว
   บ้านได้กลิ่นควันไฟ จึงช่วยกันดับไว้ได้ทันก่อนที่ศพจะถูกเผาไหม้หมด นอกจากนี้ ตร.ยังควบคุมตัวชายข้างห้องที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเคยก่อคดีมาโชกโชน หนีหมายศาลในข้อหาทำร้ายร่างกาย และอดีตคู่กิ๊กที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมาสอบสวน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 55 เวลา 01.30 น.ที่ผ่านมานั้น
   ล่าสุด ตำรวจชุดบูรณาการได้ประสานงานกัน จนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ที่บนขบวนรถไฟสายใต้ กรุงเทพฯ-ปัตตานี ขณะจอดอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี อ.เมือง จ.ราชบุรี เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 9 ก.พ. โดยผู้ต้องหารายนี้คือ นายวีระพงษ์ เสถียรธีระภาพ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 หมู่ 4 ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม ปัจจุบันยังศึกษาอยู่ที่ ม.ราชภัฏนครปฐม ปีที่ 4 เคยเป็นเพื่อนเรียนสมัยอนุบาลจนถึงชั้นประถม(เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน) ทั้งนี้ เมื่อเวลา 21.30 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รอง ผบช.ภ.7 ว่า ชุดบูรณาการภาค 7 ได้ประสานกับ สภ.เมืองราชบุรี จับกุมตัวผู้ต้องหาในคดีฆ่าแล้วเผาสาวเคเบิลได้แล้ว ขณะนี้นำตัวมาสอบสวนในเซฟเฮาส์แห่งหนึ่งของภาค 7 เบื้องต้นผู้ต้องหายังปฏิเสธ
   พล.ต.ต.โสภณ กล่าวถึงขั้นตอนในการจับกุมครั้งนี้ว่า จากการใช้เทคนิคพิเศษของตำรวจ ทราบจากโทรศัพท์ของผู้ตาย ซึ่งมีอยู่ 2 เครื่อง เครื่องแรกผู้ตายนำติดตัวไว้ ซึ่งเป็นเครื่องที่คนร้ายเอาไปด้วย ส่วนเครื่องที่ 2 อยู่ที่โต๊ะทำงานใน สนง.นครปฐมเคเบิลทีวี หลังเกิดเหตุได้ตรวจสอบที่ทำงานและพบโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ในโต๊ะทำงาน จึงนำมาตรวจสอบ จนพบว่ามีหมายเลขที่ติดต่อเข้ามาหาผู้ตายเลขหมายสุดท้ายคือ เลขหมายที่นายวีระพงษ์ ผู้ต้องหา ใช้อยู่ โดยครั้งล่าสุดโทรหาเมื่อช่วงเวลา 20.00 น. วันที่ 6 ก.พ. ก่อนจะเสียชีวิต 1 วัน แต่ไม่สามารถติดต่อหมายเลขของนายวีระพงษ์ได้ จึงมาตรวจสอบในเรื่องการศึกษา พบว่าผู้ตายกับนายวีระพงษ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาลเรื่อยมาจนถึงชั้นประถม พอขึ้นมัธยมก็แยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น จึงตามหาตัวนายวีระพงษ์ทั้งที่บ้านและบ้านญาติ แต่ก็ไม่พบ
   จากนั้นจึงนำเทคนิกพิเศษมาใช้ กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ก.พ. เวลา 17.00 น. ตำรวจสามารถจับคลื่นโทรศัพท์ของนายวีระพงษ์ได้ที่ชานชาลาสถานีรถไฟนครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม จึงมอบหมายให้ พ.ต.อ.วัฒนา พิมพ์อัฐ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม นำกำลังไปตรวจสอบ พบว่าเป็นรถไฟรถด่วน มี 12 โบกี้ และเริ่มเดินทางออกจากชานชาลามุ่งหน้าไปภาคใต้ จึงประสานไปยัง สภ.เมืองราชบุรี เพราะรถไฟจะต้องจอดที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี พร้อมกับมอบภาพถ่ายของนายวีระพงษ์ไปให้ตรวจดูด้วย เมื่อขบวนรถไฟวิ่งไปจอดที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี ตร.สภ.เมืองราชบุรี จึงนำกำลังกว่า 100 คน เข้าตรวจค้นภายในขบวนรถ กระทั่งพบตัวจึงเชิญมาสอบสวนและลงบันทึกไว้ พร้อมแจ้งให้ทางภาค 7 รับทราบ ก่อนจะส่งชุดสืบสวนภาค 7 ไปรับตัวมายังเซฟเฮาส์เพื่อทำการสอบสวนอย่างละเอียด โดยผู้ต้องหาปฏิเสธว่าจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
   ต่อมาเวลา 22.30 น.วันเดียวกัน นายวีระพงษ์ก็ได้เปิดปากยอมรับสารภาพถึงขั้นตอนการสังหาร บอกว่า เป็นคนลงมือฆ่าผู้ตายด้วยตัวเอง โดยก่อนหน้าเกิดเหตุ 1 วัน ตนได้ทราบเรื่องจากเพื่อนว่า ผู้ตายกำลังมีปัญหาถูกคนขู่จะทำร้ายร่างกาย กำลังเดือดร้อน จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ตนจึงขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้ตายจากเพื่อนมา แล้วโทรไปหา เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน เมื่อคุยโทรศัพท์จึงรู้ว่าถูกเพื่อนที่ทำงานในเคเบิลขู่ ประกอบกับภรรยาคู่กิ๊กที่เป็นช่างก็ตามราวี ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะอยู่คนเดียว อยากชวนเพื่อนมานั่งคุยด้วย จึงนัดกันในเวลา 10.00 น.ของวันเกิดเหตุ (7 ก.พ.) เมื่อถึงเวลาก็ไปพบผู้ตายที่ห้อง พร้อมกับซื้อเหล้าและเบียร์ไปนั่งดื่มด้วย โดยผู้ตายขอร้องให้อยู่เป็นเพื่อน กลัวว่าอยู่คนเดียวจะถูกหญิงคู่อริที่เคยขู่จะมาทำร้าย
   จากนั้นเวลา 12.00 น. ผู้ตายขอนอนพักผ่อนบนเตียงโซฟา ส่วนนายวีระพงษ์นั่งดื่มสุราจนเมาได้ที่ ก็เกิดอารมณ์ทางเพศ เห็นผู้ตายนอนหลับ จึงถือโอกาสกระโดดขึ้นนั่งคร่อมผู้ตาย โดยใช้หัวเข่าทั้ง 2 ข้างกดแขนผู้ตายไว้ แล้วปลุกปล้ำจะข่มขืนกระทำชำเรา แต่ผู้ตายพยายามดิ้นรนขัดขืน ทั้งถีบทั้งร้องให้คนช่วย ตนจึงใช้มือปิดปากไม่ให้ส่งเสียง แต่ผู้ตายยังดิ้น จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าสายเตารีดที่วางอยู่บนพื้นใกล้เตียงมารัดคอ แล้วดึงจนผู้ตายร้องไม่ออก แต่ก็ยังไม่ตายทันที สะดุ้งขึ้นมา จึงคว้าเชือกผูกรัดอีก 1 รอบจนสิ้นใจตายในที่สุด
   เมื่อทราบว่าเสียชีวิตแล้วก็ปลดเอาทรัพย์สินในคอ ซึ่งมีสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง แหวนทองสวมนิ้ว และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุงของผู้ตายไปด้วย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็นั่งคิดอยู่นาน กลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเป็นการฆาตกรรม จึงวางแผนให้เป็นไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้เป็นไฟไหม้เพื่อทำลายศพและร่องรอยการฆ่า จึงไปหาพรรคพวกที่เป็นรุ่นน้องติดยาเสพติดอีก 3 คน มีนายต่อ อายุ 16 ปี, นายเจต อายุ 15 ปี และนายเหนียว อายุ 17 ปี ทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลนครนครปฐม กำลังเล่นเกมอินเทอร์เน็ตอยู่ โดยจ้างวานคนละ 200 บาท ให้มาช่วยเผา โดยไปซื้อน้ำมันก๊าดจากร้านโชห่วยในตลาด ก่อนย้อนกลับไปที่บ้านของผู้ตายอีกครั้งในเวลา 01.00 น. จากนั้นก็ยกศพผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงโซฟา แล้วใช้ผ้าห่มนวมห่อตัวไว้และใช้หมอนปิดใบหน้า เทน้ำมันก๊าดราดลงบนร่างผู้ตาย ส่วนด้านหลังบ้านได้ให้เพื่อนไปเอาเสื้อผ้าผู้ตายที่แขวนไว้บนราวผ้าในห้อง ลงมากองไว้ที่พื้นแล้วเทน้ำมันก๊าดราด ก่อนจะให้จุดไฟเผาพร้อมกันทั้ง 2 จุด จากนั้นก็หลบหนีออกมา แต่ไฟยังไม่ทันไหม้หมด ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ห้องข้างเคียงก็ลุกมาช่วยกันดับไฟไว้เสียก่อน
   นายวีระพงษ์ เผยอีกว่า สำหรับโทรศัพท์และสร้อยคอทองคำนั้น ตนนำไปขายหลังก่อเหตุได้ 1 วัน ซึ่งโทรศัพท์ได้ถอดซิมการ์ดและฝาครอบหลังไปทิ้งถังขยะริมถนนลำพยา แยกเข้าซอยหมอชุ้น หมู่ 4 ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม เหลือแต่เครื่อง แล้วนำไปขายที่ร้านโทรศัพท์ในห้างบิ๊กซี สาขานครปฐม ในราคา 2,000 บาท ส่วนสร้อยคอทองคำนำไปขายที่ร้านทองถนนสะพานเกวียน ในเขตเทศบาลนครนครปฐม ในราคา 5,000 บาท จากนั้นจะนำเงินหลบหนี หลังทราบจากข่าวหนังสือพิมพ์ว่า ตร.กำลังตามหาเพื่อนผู้ตายอยู่ จึงกลัวว่าเรื่องจะมาถึงตัวเอง จึงคิดหนีลงไปภาคใต้เพื่อหางานทำ พอเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับขึ้นมา
   ทั้งนี้ หลังจากผู้ต้องหารับสารภาพแล้ว ตร.ได้แยกย้ายกันไปหาของกลางที่ทิ้งไว้ในขยะ และเดินทางไปยังร้านที่รับซื้อของกลางที่ผู้ต้องหานำขายไปกลับคืนมา จากนั้นได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดนครปฐม เข้าจับกุมตัว นายต่อ, นายเจต และนายเหนียว ที่ร่วมกันก่อเหตุมาได้ครบทีม
   นอกจากนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ก.พ. พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.สมบูรณ์ ฮวบบางยาง รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.เพชรัตน์ แสงไชย ผบก.ภ.จว.นครปฐม พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงศ์ปิ่น ผบก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.กษณะ แจ่มสว่าง รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.สมเกียรติ แสวงสุข ผกก.1 บก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.วัฒนา พิมพ์อัฐ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม และ พ.ต.ท.ปรีชา ทิมหอม รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน มาแถลงที่ห้องประชุมชั้น 4 ตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ จากนั้นได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่ามกลางประชาชนที่ทราบข่าว รวมถึงญาติพี่น้องของผู้ตาย เดินทางมาดูเป็นจำนวนมากจนแน่นขนัด ตร.ต้องระดมกำลังกว่า 100 นาย เพื่อรักษาความสงบ เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะถูกรุมประชาทัณฑ์
   อย่างไรก็ตาม ขณะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีญาติของผู้ตายวิ่งเข้ามาประชิดตัวนายวีระพงษ์ แล้วกำหมัดชกเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนบวมปูด ตร.คว้าตัวผู้ก่อเหตุไม่ทันเพราะวิ่งหลบเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู แล้วหายไป หลังเสร็จสิ้นการทำแผน ระหว่างนำตัวผู้ต้องหากลับสถานีตำรวจ ชาวบ้านก็ฮือออกมาจากที่กั้นอีกครั้งเข้ารุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา ทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นอีก ตร.ต้องรีบกันผู้ต้องหาพาหลบออกมาจากพื้นที่ทางด้านหลังอย่างทุลักทุเล ทั้งนี้ นายวีระพงษ์ถูกตั้งข้อหากระทำอนาจาร ฆ่าผู้อื่นเพื่อปิดบังการกระทำผิด ลักทรัพย์รับของโจร วางเพลิงเผาทำลายศพเพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย ส่วนนายต่อ, นายเจต และนายเหนียว ผู้ร่วมเผา แต่ไม่ได้ร่วมฆ่า ถูกตั้งข้อหาร่วมกันวางเพลิง เผาทำลายศพเพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย.



 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
 www.legendnews.net
 www.manager.co.th
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต