วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จ.นครปฐม จับยกทีมฆ่า เผาสาวเคเบิล อ้างปล้นทรัพย์


ภ.7 รวบ “4 ผู้ต้องหา” ฆ่าแล้วเผา “สาวเคเบิล” ขณะหนีกบดานคาสถานีรถไฟราชบุรี รับสิ้นหวังปล้นทรัพย์ แต่กลัวความผิดจึงชวนรุ่นน้องร่วมทำแผนให้เป็นไฟฟ้าลัดวงจรไฟไหม้เพื่อทำลายศพ จากนั้นจะหลบหนีไปภาคใต้เพื่อไปหางานทำ หวังให้เรื่องเงียบแล้วค่อยกลับมา..
   จากกรณี น.ส.ณิชมล หรือ “ตู้” นิ่มเดช อายุ 22 ปี เจ้าหน้าที่ฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นครปฐมเคเบิลทีวี ถูกคนร้ายฆ่าแล้วเผาอำพราง นอนเสียชีวิตอยู่บนโซฟา ภายในห้องเช่าหลังที่ทำการ อบต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยใช้ผ้าห่มนวมห่อศพแล้วใช้น้ำมันก๊าซราดก่อนจะเผา แต่เดชะบุญที่ชาว
   บ้านได้กลิ่นควันไฟ จึงช่วยกันดับไว้ได้ทันก่อนที่ศพจะถูกเผาไหม้หมด นอกจากนี้ ตร.ยังควบคุมตัวชายข้างห้องที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเคยก่อคดีมาโชกโชน หนีหมายศาลในข้อหาทำร้ายร่างกาย และอดีตคู่กิ๊กที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมาสอบสวน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 55 เวลา 01.30 น.ที่ผ่านมานั้น
   ล่าสุด ตำรวจชุดบูรณาการได้ประสานงานกัน จนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ที่บนขบวนรถไฟสายใต้ กรุงเทพฯ-ปัตตานี ขณะจอดอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี อ.เมือง จ.ราชบุรี เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 9 ก.พ. โดยผู้ต้องหารายนี้คือ นายวีระพงษ์ เสถียรธีระภาพ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 หมู่ 4 ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม ปัจจุบันยังศึกษาอยู่ที่ ม.ราชภัฏนครปฐม ปีที่ 4 เคยเป็นเพื่อนเรียนสมัยอนุบาลจนถึงชั้นประถม(เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน) ทั้งนี้ เมื่อเวลา 21.30 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รอง ผบช.ภ.7 ว่า ชุดบูรณาการภาค 7 ได้ประสานกับ สภ.เมืองราชบุรี จับกุมตัวผู้ต้องหาในคดีฆ่าแล้วเผาสาวเคเบิลได้แล้ว ขณะนี้นำตัวมาสอบสวนในเซฟเฮาส์แห่งหนึ่งของภาค 7 เบื้องต้นผู้ต้องหายังปฏิเสธ
   พล.ต.ต.โสภณ กล่าวถึงขั้นตอนในการจับกุมครั้งนี้ว่า จากการใช้เทคนิคพิเศษของตำรวจ ทราบจากโทรศัพท์ของผู้ตาย ซึ่งมีอยู่ 2 เครื่อง เครื่องแรกผู้ตายนำติดตัวไว้ ซึ่งเป็นเครื่องที่คนร้ายเอาไปด้วย ส่วนเครื่องที่ 2 อยู่ที่โต๊ะทำงานใน สนง.นครปฐมเคเบิลทีวี หลังเกิดเหตุได้ตรวจสอบที่ทำงานและพบโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ในโต๊ะทำงาน จึงนำมาตรวจสอบ จนพบว่ามีหมายเลขที่ติดต่อเข้ามาหาผู้ตายเลขหมายสุดท้ายคือ เลขหมายที่นายวีระพงษ์ ผู้ต้องหา ใช้อยู่ โดยครั้งล่าสุดโทรหาเมื่อช่วงเวลา 20.00 น. วันที่ 6 ก.พ. ก่อนจะเสียชีวิต 1 วัน แต่ไม่สามารถติดต่อหมายเลขของนายวีระพงษ์ได้ จึงมาตรวจสอบในเรื่องการศึกษา พบว่าผู้ตายกับนายวีระพงษ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาลเรื่อยมาจนถึงชั้นประถม พอขึ้นมัธยมก็แยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น จึงตามหาตัวนายวีระพงษ์ทั้งที่บ้านและบ้านญาติ แต่ก็ไม่พบ
   จากนั้นจึงนำเทคนิกพิเศษมาใช้ กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ก.พ. เวลา 17.00 น. ตำรวจสามารถจับคลื่นโทรศัพท์ของนายวีระพงษ์ได้ที่ชานชาลาสถานีรถไฟนครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม จึงมอบหมายให้ พ.ต.อ.วัฒนา พิมพ์อัฐ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม นำกำลังไปตรวจสอบ พบว่าเป็นรถไฟรถด่วน มี 12 โบกี้ และเริ่มเดินทางออกจากชานชาลามุ่งหน้าไปภาคใต้ จึงประสานไปยัง สภ.เมืองราชบุรี เพราะรถไฟจะต้องจอดที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี พร้อมกับมอบภาพถ่ายของนายวีระพงษ์ไปให้ตรวจดูด้วย เมื่อขบวนรถไฟวิ่งไปจอดที่ชานชาลาสถานีรถไฟราชบุรี ตร.สภ.เมืองราชบุรี จึงนำกำลังกว่า 100 คน เข้าตรวจค้นภายในขบวนรถ กระทั่งพบตัวจึงเชิญมาสอบสวนและลงบันทึกไว้ พร้อมแจ้งให้ทางภาค 7 รับทราบ ก่อนจะส่งชุดสืบสวนภาค 7 ไปรับตัวมายังเซฟเฮาส์เพื่อทำการสอบสวนอย่างละเอียด โดยผู้ต้องหาปฏิเสธว่าจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
   ต่อมาเวลา 22.30 น.วันเดียวกัน นายวีระพงษ์ก็ได้เปิดปากยอมรับสารภาพถึงขั้นตอนการสังหาร บอกว่า เป็นคนลงมือฆ่าผู้ตายด้วยตัวเอง โดยก่อนหน้าเกิดเหตุ 1 วัน ตนได้ทราบเรื่องจากเพื่อนว่า ผู้ตายกำลังมีปัญหาถูกคนขู่จะทำร้ายร่างกาย กำลังเดือดร้อน จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ตนจึงขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้ตายจากเพื่อนมา แล้วโทรไปหา เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน เมื่อคุยโทรศัพท์จึงรู้ว่าถูกเพื่อนที่ทำงานในเคเบิลขู่ ประกอบกับภรรยาคู่กิ๊กที่เป็นช่างก็ตามราวี ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะอยู่คนเดียว อยากชวนเพื่อนมานั่งคุยด้วย จึงนัดกันในเวลา 10.00 น.ของวันเกิดเหตุ (7 ก.พ.) เมื่อถึงเวลาก็ไปพบผู้ตายที่ห้อง พร้อมกับซื้อเหล้าและเบียร์ไปนั่งดื่มด้วย โดยผู้ตายขอร้องให้อยู่เป็นเพื่อน กลัวว่าอยู่คนเดียวจะถูกหญิงคู่อริที่เคยขู่จะมาทำร้าย
   จากนั้นเวลา 12.00 น. ผู้ตายขอนอนพักผ่อนบนเตียงโซฟา ส่วนนายวีระพงษ์นั่งดื่มสุราจนเมาได้ที่ ก็เกิดอารมณ์ทางเพศ เห็นผู้ตายนอนหลับ จึงถือโอกาสกระโดดขึ้นนั่งคร่อมผู้ตาย โดยใช้หัวเข่าทั้ง 2 ข้างกดแขนผู้ตายไว้ แล้วปลุกปล้ำจะข่มขืนกระทำชำเรา แต่ผู้ตายพยายามดิ้นรนขัดขืน ทั้งถีบทั้งร้องให้คนช่วย ตนจึงใช้มือปิดปากไม่ให้ส่งเสียง แต่ผู้ตายยังดิ้น จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าสายเตารีดที่วางอยู่บนพื้นใกล้เตียงมารัดคอ แล้วดึงจนผู้ตายร้องไม่ออก แต่ก็ยังไม่ตายทันที สะดุ้งขึ้นมา จึงคว้าเชือกผูกรัดอีก 1 รอบจนสิ้นใจตายในที่สุด
   เมื่อทราบว่าเสียชีวิตแล้วก็ปลดเอาทรัพย์สินในคอ ซึ่งมีสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง แหวนทองสวมนิ้ว และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุงของผู้ตายไปด้วย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็นั่งคิดอยู่นาน กลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเป็นการฆาตกรรม จึงวางแผนให้เป็นไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้เป็นไฟไหม้เพื่อทำลายศพและร่องรอยการฆ่า จึงไปหาพรรคพวกที่เป็นรุ่นน้องติดยาเสพติดอีก 3 คน มีนายต่อ อายุ 16 ปี, นายเจต อายุ 15 ปี และนายเหนียว อายุ 17 ปี ทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลนครนครปฐม กำลังเล่นเกมอินเทอร์เน็ตอยู่ โดยจ้างวานคนละ 200 บาท ให้มาช่วยเผา โดยไปซื้อน้ำมันก๊าดจากร้านโชห่วยในตลาด ก่อนย้อนกลับไปที่บ้านของผู้ตายอีกครั้งในเวลา 01.00 น. จากนั้นก็ยกศพผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงโซฟา แล้วใช้ผ้าห่มนวมห่อตัวไว้และใช้หมอนปิดใบหน้า เทน้ำมันก๊าดราดลงบนร่างผู้ตาย ส่วนด้านหลังบ้านได้ให้เพื่อนไปเอาเสื้อผ้าผู้ตายที่แขวนไว้บนราวผ้าในห้อง ลงมากองไว้ที่พื้นแล้วเทน้ำมันก๊าดราด ก่อนจะให้จุดไฟเผาพร้อมกันทั้ง 2 จุด จากนั้นก็หลบหนีออกมา แต่ไฟยังไม่ทันไหม้หมด ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ห้องข้างเคียงก็ลุกมาช่วยกันดับไฟไว้เสียก่อน
   นายวีระพงษ์ เผยอีกว่า สำหรับโทรศัพท์และสร้อยคอทองคำนั้น ตนนำไปขายหลังก่อเหตุได้ 1 วัน ซึ่งโทรศัพท์ได้ถอดซิมการ์ดและฝาครอบหลังไปทิ้งถังขยะริมถนนลำพยา แยกเข้าซอยหมอชุ้น หมู่ 4 ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม เหลือแต่เครื่อง แล้วนำไปขายที่ร้านโทรศัพท์ในห้างบิ๊กซี สาขานครปฐม ในราคา 2,000 บาท ส่วนสร้อยคอทองคำนำไปขายที่ร้านทองถนนสะพานเกวียน ในเขตเทศบาลนครนครปฐม ในราคา 5,000 บาท จากนั้นจะนำเงินหลบหนี หลังทราบจากข่าวหนังสือพิมพ์ว่า ตร.กำลังตามหาเพื่อนผู้ตายอยู่ จึงกลัวว่าเรื่องจะมาถึงตัวเอง จึงคิดหนีลงไปภาคใต้เพื่อหางานทำ พอเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับขึ้นมา
   ทั้งนี้ หลังจากผู้ต้องหารับสารภาพแล้ว ตร.ได้แยกย้ายกันไปหาของกลางที่ทิ้งไว้ในขยะ และเดินทางไปยังร้านที่รับซื้อของกลางที่ผู้ต้องหานำขายไปกลับคืนมา จากนั้นได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดนครปฐม เข้าจับกุมตัว นายต่อ, นายเจต และนายเหนียว ที่ร่วมกันก่อเหตุมาได้ครบทีม
   นอกจากนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ก.พ. พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.สมบูรณ์ ฮวบบางยาง รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.เพชรัตน์ แสงไชย ผบก.ภ.จว.นครปฐม พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงศ์ปิ่น ผบก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.กษณะ แจ่มสว่าง รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.สมเกียรติ แสวงสุข ผกก.1 บก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.วัฒนา พิมพ์อัฐ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม และ พ.ต.ท.ปรีชา ทิมหอม รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน มาแถลงที่ห้องประชุมชั้น 4 ตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ จากนั้นได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่ามกลางประชาชนที่ทราบข่าว รวมถึงญาติพี่น้องของผู้ตาย เดินทางมาดูเป็นจำนวนมากจนแน่นขนัด ตร.ต้องระดมกำลังกว่า 100 นาย เพื่อรักษาความสงบ เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะถูกรุมประชาทัณฑ์
   อย่างไรก็ตาม ขณะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีญาติของผู้ตายวิ่งเข้ามาประชิดตัวนายวีระพงษ์ แล้วกำหมัดชกเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนบวมปูด ตร.คว้าตัวผู้ก่อเหตุไม่ทันเพราะวิ่งหลบเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู แล้วหายไป หลังเสร็จสิ้นการทำแผน ระหว่างนำตัวผู้ต้องหากลับสถานีตำรวจ ชาวบ้านก็ฮือออกมาจากที่กั้นอีกครั้งเข้ารุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา ทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นอีก ตร.ต้องรีบกันผู้ต้องหาพาหลบออกมาจากพื้นที่ทางด้านหลังอย่างทุลักทุเล ทั้งนี้ นายวีระพงษ์ถูกตั้งข้อหากระทำอนาจาร ฆ่าผู้อื่นเพื่อปิดบังการกระทำผิด ลักทรัพย์รับของโจร วางเพลิงเผาทำลายศพเพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย ส่วนนายต่อ, นายเจต และนายเหนียว ผู้ร่วมเผา แต่ไม่ได้ร่วมฆ่า ถูกตั้งข้อหาร่วมกันวางเพลิง เผาทำลายศพเพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย.



 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
 www.legendnews.net
 www.manager.co.th
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น