This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทุบเก๋งป้ายแดงกลางเมืองหาดใหญ่ฉกเงินสด 2 แสนหนีเข้ากลีบเมฆ






ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - 2 โจ๋ทุบกระจกเก๋งป้ายแดงของตำรวจหญิงซึ่งจอดไว้กลางเมืองหาดใหญ่ ฉกเงินสด 2 แสนบาทที่เพิ่งเบิกจากธนาคารหนีเข้ากลีบเมฆ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา17.00 น. วานนี้ (15 มิ.ย.) ร.ต.อ.บุญช่วย บุญรอด พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ รับแจ้งว่าเกิดเหตุคนร้ายทุบกระจกรถเก๋งและชิงทรัพย์ ซึ่งจอดอยู่ภายในซอยรณภูมิ ถนนราษฎร์อุทิศ หน้าโรงเรียนอนุบาลกุลจินต์ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่
       
       หลังรุดไปตรวจสอบพบรถเก๋งป้ายแดง ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีขาว หมายเลขทะเบียน ก 3947 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถของดาบตำรวจหญิงวิชิตา แสงศรี สังกัดตำรวจภูธร ภาค 9 โดยคนร้ายได้ใช้ของแข็งทุบที่กระจกประตูหน้าด้านซ้ายจนแตก และขโมยเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าสะพายจำนวน 2 แสนบาทหลบหนีไป
       
       จากการสอบสวน ดาบตำรวจหญิงวิชิตาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ไปเบิกเงินสดมาจากธนาคารจำนวน 2 แสนบาท โดยขับรถมากับนายชานนท์ แสงศรี อายุ 29 ปี หลานชาย โดยตนได้แวะหาหมอที่คลินิกทำฟันย่านตลาดกิมหยง และนายชานนท์ได้ขับรถมาจอดบริเวณเกิดเหตุเพื่อลงไปหาเพื่อนที่ร้านเครื่องเสียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยที่ลืมนำกระเป๋าเงินที่วางอยู่ใต้ที่นั่งข้างคนขับลงไปด้วย 


เจ้าหน้าที่เก็บลายนิ้วมือแฝง
       คนขับรถบรรทุกสิบล้อ พยานซึ่งอยู่ในบริเวณดังกล่าวให้การว่า ไม่เกิน 10 นาทีหลังจากนายชานนท์จอดรถ ได้เห็นคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและป้ายทะเบียนมาจอดข้างรถเก๋ง ก่อนใช้ของแข็งทุบกระจกรถจนแตก และเข้าไปรื้อคนทรัพย์สินและขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป เมื่อนายชานนท์มาตรวจดูก็พบว่ากระเป๋าสะพายที่ใส่เงินสด 2 แสนบาทได้หายไปด้วย






นายชานนท์ แสงศรี ผู้ขับรถคันดังกล่าวก่อนถูกทุบกระจก
        เบื้องต้น ตำรวจวิทยาการได้มาตรวจและเก็บลายนิ้วมือแฝงไว้เป็นหลักฐานแล้ว ขณะที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.หาดใหญ่ จะตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะขับหลบหนี เพื่อหาเบาะแสในการติดตามจับกุมคนร้ายทั้งสองต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 มิถุนายน 2555 09:50 น.




โมเดิร์นเรด อ้าแขนรับรายการล้มเจ้าของ ปลื้ม ณ วอยซ์ทีวี

เรียก “ปลื้ม – ล้มเจ้า” เสียบแทนรายการ “เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า” 
กลิ่นไม่ดีมาตั้งแต่ตอนที่ทีมผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์เชิญตัว “กนก รัตน์วงศ์สกุล” พิธีกรรายการเช้าข่าวข้นและรายการข่าวข้นคนข่าวไปพูดคุยแกมตักเตือนเกี่ยวกับการทำงาน เนื่องจากที่ผ่านมาเรียกได้ว่า”กนก”เป็นหนึ่งในนักข่าวเพียงไม่กี่คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
      และนั่นก็ทำให้เกิดกรณีเรียกตัวกนกไปตักเตือนจนลามมาสู่การ “ถอด” รายการทั้งสองในเครือเนชั่นออกจากผังของช่องในเวลาต่อมา วันนี้แน่ชัดว่า “จอม เพชรประดับ” จะมาทำรายการ “คลุกวงข่าว” และเตรียมดัน “ปลื้ม” หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล” !! เข้ามาอีกคน...
 “คำ ผกา”
           การที่ทีมผู้บริหารโมเดิร์นไนน์มีส่วนรู้เห็นในการเปิดทางให้คนเสื้อแดงบุกเข้ามาข่มขู่กนกถึงสถานี เพียงเท่านี้ก็พอจะพิสูจน์ได้กลายๆ แล้วว่าช่อง 9 หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าโมเดิร์นไนน์ในปัจจุบันมีวิสัยทัศน์อย่างไร?
       แต่เรื่องที่น่าสะพรึงกลัวยังไม่ยุติแค่นั้น เพราะในขณะที่ผู้บริหารโมเดิร์นไนน์เพิ่งแถลงข่าวว่าจะทำรายการคลุกวงข่าวซึ่งมี “จอม เพชรประดับ” นักข่าวเสื้อแดงแปร๊ดมานั่งแท่นเป็นพิธีกรหลักนั้น แหล่งข่าววงในก็ปูดข่าวมาว่ากำลังจะเกิดมหกรรมการสอดแทรกรายการชาวเสื้อแดงเข้าไปอีกจนอาจจะเรียกได้ว่าโมเดิร์นไนน์กำลังจะกลายเป็นโมเดิร์นเรด!!
      เรื่องนี้เริ่มที่รายการจับเงินชนทองซึ่งออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เวลา 9.30 -10.00 น. กำลังจะถูกยุบเนื่องจากทำเรตติ้งได้ไม่สู้จะดีนัก ผู้บริหารโมเดิร์นไนน์จึงเจรจากับผู้บริหารของรายการการเงินธนาคารหรือ Money Daily ว่าจะมอบช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงของรายการจับเงินชนทองให้แก่รายการ Money Daily เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์สำหรับแวดวงธุรกิจเนื่องจากตลาดหุ้นเปิดทำการพอดี ในขณะที่ทีมงานรายการ Money Daily กำลังเตรียมจะทำรายการเกมโชว์เกี่ยวกับธุรกิจอยู่นั้นเอง จู่ๆ ผู้บริหารโมเดิร์นไนน์ก็เดินเข้ามาบอกว่าจะไม่ให้เวลาครึ่งชั่วโมงนั้นแล้วเพราะเขาเห็นว่าตอนนี้มีรายการอยู่รายการหนึ่งที่มีเรตติ้งดีมากและกำลังเจรจาให้มาแพร่ภาพอยู่กับโมเดิร์นไนน์


       รายการนั้นชื่อ The Daily Dose ที่ออกอากาศทาง Voice TV. และดำเนินรายการโดย “ปลื้ม หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล” !!
       
       The Daily Dose เป็นรายการที่ปลื้มใช้เป็นพื้นที่ในการพูดถึงเรื่องการเมืองและสังคมผ่านความคิดเห็นของตัวเองแบบสุดโต่ง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างรุนแรงตั้งแต่สมัยที่เขาทำงานด้านสื่อมวลชนในระยะแรก มาจนถึงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงอย่างออกหน้าออกตาในยุคนี้ก็ทำให้ทุกถ้อยคำในรายการ The Daily Dose ของปลื้มสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่ไม่เอาเจ้า
      ไม่ว่าจะเป็นเทปรายการที่ออกมาพูดถึงกรณีของอากงซึ่งพยายามแสดงเจตนาในการต่อว่าต่อขานตัวบทกฎหมายและผู้ที่คิดกฎหมายมาตรา 112 โดยย้ำตลอดรายการว่า “แค่ส่ง SMS ก็ติดคุกแล้ว” โดยไม่เคยพูดถึงเนื้อหาของ SMS นั้นแม้แต่คำเดียว ไปจนถึงกรณีการเปรียบเทียบการออกมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าเหมือนกับการที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ของแอฟริกาตอนเหนือได้ออกมาเดินขบวนขับไล่ “มูอัมมาร์ กัดดาฟี่” ผู้นำจอมเผด็จการ ซึ่งปลื้มย้ำเสมอว่าคนเสื้อแดงคือพลังบริสุทธิ์ที่เสียสละมาร่วมชุมนุมเหมือนชาวอาหรับในแอฟริกาเหนือ ซึ่งเนื้อหาในรายการเรื่องนี้ก็ถูกรับลูกจากสำนักพิมพ์มติชนจนได้รับการตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กชื่อ “The Daily Dose คิดเปลี่ยนโลก” ที่พิมพ์ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
     รายการที่ปลื้มมานั่งพล่ามคนเดียวรายการนี้เองที่ผู้บริหารโมเดิร์นไนน์บอกว่า “เรตติ้งดีมากจนต้องนำมาลงในช่วงเวลาดังกล่าว”
แถลงข่าวล่าสุดของอสมท.
       แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บริหารโมเดิร์นไนน์ก็ประชุมเครียดกับเจ้าของรายการ Money Daily แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าหากปล่อยพื้นที่เดิมของรายการจับเงินชนทองอาจจะไม่เหมาะกับความร้อนแรงของรายการนัก ว่าแล้วก็เจรจากับรายการ Money Daily จะได้รับเวลานั้นกลับไปบริหารเอง แต่แล้วเจ้าของรายการ Money Daily ก็ปล่อยพื้นที่ให้บริษัท GMM แกรมมี่เข้ามาเช่าทำรายการ โดยที่ถึงเวลานี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าแกรมมี่ที่(พยายาม)กอบโกยเงินจากกล่องจีเอ็มเอ็ม แซทในช่วงฟุตบอลยูโรจะเข้ามาทำอะไรที่โมเดิร์นไนน์แห่งนี้
      ส่วนตอนนี้ทีมผู้บริหารโมเดิร์นไนน์ก็กำลังเคลียร์พื้นที่ให้รายการ The Daily Dose ของปลื้มที่เตรียมขนบุคลากรทั้งหมดจาก Voice TV. มาออนแอร์กันที่โมเดิร์นไนน์ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคมนี้ และนั่นจะทำให้เราได้เห็นนายปลื้มนั่งจ้อเชียร์รัฐบาล สนับสนุนคนเสื้อแดง และเดินหน้าล้มกฎหมายมาตรา 112 กันอย่างชัดเจนไม่มีเม้ม โดยทีมผู้บริหารเคาะออกมานาทีสุดท้ายแล้วว่าจะให้รายการทอล์คล้มเจ้าของปลื้มมาเสียบแทนรายการ “เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า” นั่นเท่ากับว่ารายการนี้อาจได้เวลาช่วงไพรม์ไทม์ตอนเช้าถึงห้าวันเต็ม!!
3  พิธีกรสาวแห่งทีวีแดงล้มเจ้า
 3  พิธีกรสาวแห่งทีวีแดงล้มเจ้า
คนแรก “คำ ผกา”   ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไร   เพราะด้วยบทบาทของเธอตลอดปี ๒๕๕๔   ผมอยากจะยกให้เธอเป็น “ผู้หญิงแห่งปี” ด้วยซ้ำไป

คนที่สอง “วันรัก สุวรรณวัฒนา”   ชื่อนี้หลายคนอาจจะยังไม่คุ้น   แต่บางคนอาจจะเคยเห็นเธอในรายการเวค อัพ ไทยแลนด์  บ้าง   จริงๆแล้ว  งานประจำของเธอ  เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

คนสุดท้าย “มนทกานติ รังสิพราหมณกุล”   เธอเป็นบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร “มาดาม ฟิกาโร”   คลุกคลีอยู่ในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ด้านแฟชั่น/ความงาม/ศิลปะ 
       ส่วนช่วงค่ำก็เตรียมชมรายการ “ข่าวเสื้อแดง” ที่นำทีมโดยกระบอกเสียงเสื้อแดง “จอม เพชรประดับ” นักข่าวซึ่งเดินทางไปสัมภาษณ์ ทักษิณ ชินวัตร” ถึงฮ่องกง หลังจากที่ถูกยึดอำนาจใหม่ๆ สมัยที่นายจอมคนนี้ยังทำงานอยู่ ITV และนายจอมคนนี้นี่แหล่ะที่ก้าวขึ้นมาเป็นพิธีกรรายการถามจริง ตอบจริง ทางช่อง 11 ในสมัยที่จักรภพ เพ็ญแขมากุมอำนาจ ซึ่งจอมคนนี้นี่แหล่ะที่นั่งสัมภาษณ์ “ใจ อึ๊งภากรณ์” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน “จอม” คนนี้นี่แหล่ะที่ทำสกู๊ปข่าว “ถ้อยคำสุดท้าย ของ “นวมทอง ไพรวัลย์”” ชายที่ชาวเสื้อแดงเรียก “วีรบุรุษ” เนื่องจากผูกคอตายประท้วง คมช.
จอม เพชรประดับ เปิดตัวก่อน
       เมื่อโมเดิร์นไนน์ให้พื้นที่คนอย่าง “จอม เพชรประดับ” และ “ปลื้ม” แบบนี้ อาจจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ปลื้มและไม่เห็นด้วย อาการเหลือบอย่างที่อสมท.ทำอยู่ในทุกวันนี้ขืนปล่อยไว้นานเห็นทีโลโก้โมเดิร์นไนน์อาจเปลี่ยนเป็นสีแดงไปอย่างเต็มตัวในเร็ววันนี้ก็ได้ ใครจะรู้?!!
        
       ............................................................
       
       ที่มา นิตยสาร ASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 141 วันที่ 16-22 มิถุนายน 2555





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 มิถุนายน 2555 07:32 น.
ภาพจาก Internet





มัจจุราชเงียบ...เสียบหูฟัง


ได้ยินและเห็นภาพข่าวเกี่ยวกับอันตรายขณะใช้หูฟังอยู่หลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดกรณีสาวนักศึกษาที่ถูกรถไฟเกี่ยวร่างเข้าไปติดอยู่ใต้ราง เนื่องจากใช้หูฟังขณะเดินจนไม่ได้ยินเสียงหวูดเตือน ถ้าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นให้สะกิดใจ หลายคนคงมองข้ามและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว โดยไม่ยั้งคิดเลยว่าตัวเองอาจกำลังตกเป็นเหยื่อ ภัยเงียบ!...หูฟัง
       
       หูฟัง...อันตรายถึงชีวิต
       ความไม่ปลอดภัยของการใช้หูฟังในชีวิตประจำวัน รวมถึงเพื่อนร่วมทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับรถ การโดยสารรถประจำทาง หรือเดินตามท้องถนน ขณะที่ใส่หูฟัง สมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหู ทำให้ขาดสติและหลงลืมไปชั่วครู่ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังตกเป็นที่เพ่งเล็งของผู้ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว จนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตอย่างคาดคิดไม่ถึง
       
       บางคนใส่หูฟังตลอดเวลา ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ฟังเพลงบ้าง คุยโทรศัทพ์บ้าง หรือแม้กระทั่งเล่นเกม สมาธิจดจ่ออยู่กับเสียงที่ดังออกมาและอุปกรณ์ที่อยู่ในมือ จนบางคนเกือบจะตกรถเมล์ หรือรถไฟฟ้า ถ้ากระทบเพียงเท่านี้ อย่างมากก็แค่เสียเวลา แต่เราอาจไม่ได้โชคดีอย่างนี้เสมอไป
       
       มีหลายกรณีที่ใส่หูฟังเดินข้ามถนนและโดนรถชน เพราะไม่ได้ยินเสียงรถหรือเสียงบีบแตร การขึ้นรถ ลงเรือ หรืออยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีการจราจรคับคั่ง จึงมีการเตือนอยู่เสมอว่าห้ามใช้โทรศัพท์มือถือหรือหูฟังในขณะขึ้นลงรถประจำทาง รวมถึงผู้ทำงานในขณะควบคุมเครื่องจักรด้วย ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดเหตุพลาดพลั้งขึ้นได้
       
       ยิ่งแย่ไปกว่านั้น การอยู่กับตัวเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกแก๊งมิจฉาชีพ คนเป็นเหยื่ออาจไม่ทันระวังตัวว่ากำลังโดนจับสังเกตอยู่ ในขณะที่โจรหรือมิจฉาชีพกำลังจะใช้โอกาสนี้เพื่อลักทรัพย์ จี้ ปล้น ล่วงละเมิดทางเพศ และจุดจบที่โหดร้ายที่สุดคือการถูกฆ่า เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามแต่ การเลือกคนที่ไม่ทันระวังตัว จึงสามารถลงมือกระทำการณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
       
       ผู้ร้ายข่มขืนรายหนึ่งเคยให้การกับตำรวจว่า “เห็นน้องเขาใส่หูฟังเดินเข้าไปในซอยกลางดึก จึงฉุดมาข่มขืน” ซึ่งถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเราเองหรือญาติพี่น้อง ก็คงไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ อย่างตกรถอีกต่อไป
       
       เด็กไทยหูตึงก่อนวัย
       เมื่อใส่หูฟังติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ย่อมมีผลต่อระบบปราสาทการได้ยิน จึงอาจทำให้หูตึง จนถึงขั้นหูหนวกได้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีการใช้หูฟังเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหูคนเรานั้นมีความอดทนต่อเสียงในขอบเขตที่จำกัด
       
       มีหลายสาเหตุจากพฤติกรรมของเราเองที่ทำให้หูย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หูฟังฟังเพลงติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง การเปิดเพลงดังๆ ในห้อง การใช้สมอลทอล์กคุยโทรศัพท์ เมื่อทำกิจกรรมเหล่านี้เป็นประจำจึงมีโอกาสหูตึงมากกว่าคนไม่ใช้ และการใช้หูฟังในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีเสียงดังมากๆ ต้องเปิดเสียงให้ดังกว่าอาจมากถึง 105 เดซิเบล ขณะที่โดยปกติหูคนเราสามารถรับเสียงได้ไม่เกิน 85 เดซิเบลเท่านั้น จึงส่งผลให้อนาคตหูอาจไม่ได้ยินเสียงพูดในระดับปกติ
       
       นพ.กำจัด รามกุล ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การฟังเสียงจากหูฟังขณะอยู่ในบ้านไม่ควรเร่งความดังเกิน 60% ถ้าฟังติดต่อกันนาน 1 ชั่วโมงควรพัก โดยเฉพาะคนท้องการฟังเสียงที่ดังมากเกินไป หรือการใช้หูฟังติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลกระทบต่อลูกในครรภ์ จึงไม่ควรฟังเกิน 30 นาที
       
       หูฟังที่ใช้อยู่ปัจจุบันมี 3 ประเภท คือ 1.In-Ear หรือ Ear -Plug แบบใส่เข้าไปในหู 2.แบบแปะหรือสวมแนบพอดีหู และ 3.แบบครอบที่ใบหู แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือแบบ In-Ear เพราะได้ยินเสียงดังชัดเจน เสียงภายนอกแทรกเข้าไปยาก แต่ข้อดีที่ว่านี้กลับมีผลกระทบต่อประสาทการได้ยินมากกว่าการใช้หูฟังชนิดอื่น เนื่องจากตัวลำโพงหูฟังจะอยู่ใกล้กับประสาทรับเสียงในหูมากที่สุด โดยเฉพาะการฟังเพลงของวัยรุ่นประเภทที่มีเสียงดนตรีหนักๆ อย่างเสียงเบสกระแทกหู หากฟังเสียงดังเกินไปมากกว่าเสียงปกติที่คนเรารับได้ จึงมีผลต่อระบบประสาทหูโดยตรง
       
       พระราชดำรัสในหลวง เคยกล่าวถึงเรื่องหูตึงจากการฟังของเด็กไทยว่า “...ไปฟังเพลงที่ไม่ได้เพลงอะไรดี เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่องทำให้หูเสีย หูเสียไม่ใช่ว่าคนที่ฟังหูสูง หูต่ำ แต่หูไม่ได้ยิน หูตึงคนที่ไปฟังในดิสโก้เธคหูตึงทั้งนั้น ถ้าใครเป็นหมอหูไปตรวจเขายืนยันว่าเด็กสมัยนี้หูเสียมากกว่าเด็กสมัยก่อน”
       “ในดิสโก้เธคบางแห่งวัดระดับเสียงได้ถึง 120 เดซิเบล ซึ่งจริงๆ แล้วเสียงที่มีความดังเกิน 110 เดซิเบล ฟังแค่นาทีเดียวก็มีผลต่อเซลล์ประสาทหูแล้ว” ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข กล่าว
       
       สารพัดโรคถามหา
       การได้ยินเสียงวิ้งในหู นั่นคือสัญญาณเตือนของอาการหูตึง หูหนวกตามมา แต่ที่น่าเป็นห่วงในคนที่ฟังเสียงดังเกินขนาดนั้น ยังมีผลทำให้เกิดอาการปอดแฟบ แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออกอีกด้วย
       
       นพ.กำจัด รามกุล กล่าวถึง อาการหูอื้อที่พบในระยะแรก บางครั้งได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหู ทั้งที่ถอดหูฟังออกแล้ว แสดงว่าเซลล์ประสาทได้รับการกระทบกระเทือนจากเสียง ถ้าหากเป็นน้อยต้องพักหูก่อน โดยใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้หูสามารถกลับมารับฟังเสียงได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นมากการฟังเสียงพูดในระดับปกติก็จะไม่ค่อยได้ยิน และถ้าถึงขนาดตะโกนคุยกัน แสดงว่ามีอาการหูตึงเกิดขึ้น
       
       ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากสำหรับคนที่ฟังเสียงดังเกินขนาดเป็นประจำ ไม่ได้มีผลกระทบเพียงแค่เกิดอาการหูอื้อ หรือหูตึงเท่านั้น เพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว นพ.กำจัด เล่าให้ฟังต่อว่า “ในประเทศเบลเยี่ยม มีรายงานผู้ป่วยรายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการสัมผัสเสียงดังมากเกินไป จนทำให้ถุงลมในปอดแตก มีผลทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก เนื่องจากปอดแฟบจนเนื้อปอดไม่สามารถขยายได้ จึงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่เมืองไทยยังไม่มีผู้ป่วยเคสแบบนี้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน”
       
       นอกจากนี้ปัญหาของการฟังเสียงที่ดังเกินขนาดยังทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นไม่ปกติ ซึ่งขณะนี้คนทั่วโลกกำลังประสบปัญหานี้นับล้านคน
       
       ผลกระทบจากการใช้หูฟังผิดที่ผิดเวลา นอกจากจะเป็นอันตรายต่อเราและคนรอบข้างแล้ว รู้ไหมว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ไอแพด แท็บเล็ต ฯลฯ ถือเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกสบายที่สามารถหยิบฉวยขึ้นมาใช้ มาแชตเมื่อไหร่ก็ได้ จนบางคนไม่มีลิมิตในการใช้ อาจพูดได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญอีกชิ้นหนึ่งไปเสียแล้ว
       
       เมื่อการใช้เทคโนโลยีในโลกยุคดิจิตอลได้แทรกเข้าไปอยู่ในทุกกิจวัตร จึงทำให้คนสนใจสิ่งรอบข้างลดลง เพราะมัวแต่แชตและเพ่งสมาธิอยู่กับเรื่องราวข่าวสารในมือ ยิ่งถ้าใช้ขณะอยู่บนท้องถนนด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นอันตรายมากไม่ต่างจากการใส่หูฟัง
       
       ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง หรือเทคโนโลยีใดก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายและก่อเกิดโทษแก่ผู้ใช้ ถ้ามีการใช้อย่างถูกต้อง และใช้อย่างพอดี...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 13 มิถุนายน 2555 18:02 น.




ปคม.บุกช่วยเด็กสาววัย 16 ถูกญาติลวงค้ากามซ่องโอเกะ

ตํารวจ บก.ปคม.แถลงข่าวจับกุม น.ส.ดวงพร สินทรัพย์ และ นางทองทิพย์ หินอุดม ผู้ต้องร่วมกันค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปค้าประเวณี ในร้านอาหาร ย่านพระประแดง จ.สมุทรปราการ

ตำรวจ ปคม.นำกำลังช่วยเหลือเด็กสาววัย16 ปีที่ถูกญาติลวงมาค้าประเวณีที่ร้านคาราโอเกะใน อ.พระประแดง ก่อนล่อซื้อบริการเด็กสาววัย 14 ปี พร้อมรวบแม่เล้า 2 ราย 
       
       วันนี้ (15 มิ.ย.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.)  เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม.พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม. แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาค้ามนุษย์ประกอบด้วย น.ส.ดวงพร สินทรัพย์ อายุ 26 ปี และ นางทองทิพย์ หินอุดม อายุ 57 ปี  ได้ที่ ร้านวิไล แจ่วฮ้อน ซึ่งเป็นร้านคาราโอเกะ ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
       
       พ.ต.อ.ประคัลภ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้ปกครอง น.ส.เล็ก (นามสมมติ) อายุ 16 ปี  เข้าขอความช่วยเหลือจากศูนย์ประชาบดีให้ช่วยตามหา ด.ญ.เล็ก ซึ่งหายตัวไปจากบ้านย่านบางพลัด ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีการประสานงานมายังตำรวจ บก.ปคม.ให้ช่วยสืบสวนติดตามกระทั่งพบว่ามาอยู่ที่ร้านดังกล่าวจึงวางแผนเข้าจับกุมโดยปลอมตัวเป็นลูกค้าเข้าไปใช้บริการ โดยสอบถามหา น.ส.เล็กแต่ น.ส.ดวงพรบอกว่าป่วยจึงแนะนำ ด.ญ.ใหญ่ (นามสมมติ) อายุ 14 ปีให้ เมื่อตกลงและจ่ายเงินกันแล้วจึงแสดงตัวจับกุม จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจค้นบ้านพัก น.ส.ดวงพร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันพบตัว ด.ญ.เล็ก จึงช่วยเหลือออกมา
       
       สอบสวน น.ส.ดวงพร ให้การว่า น.ส.เล็ก ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานเคยทำงานที่ร้านอาหารที่ จ.ภูเก็ตซึ่งเป็นร้านของญาติเหมือนกันแต่มักจะหนีขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากตนซึ่งที่ผ่านมาน.ส.เล็ก หนีออกมานับสิบครั้งแล้วทุกคนก็ให้การช่วยเหลือมาตลอด ส่วนกรณีเด็กหญิงอีกคนนั้นก็ยอมรับว่าเป็นคนติดต่อลูกค้าให้ได้ส่วนแบ่ง 100 บาท ส่วนนางทองทิพย์ได้ 200 บาท จึงข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา และตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ดำเนินคดีต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 15 มิถุนายน 2555 14:12 น.




วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พบศพอดีตเมียนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง...ร้องเท้าหน้าห้อง...ถูกฆ่าหมกป่า

พบศพอดีตเมียนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “ร้องเท้าหน้าห้อง “ถูกฆ่าหมกป่า

สระแก้ว - ชาวบ้านพบศพอดีตเมียนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “สายัญ นิรัญดร” เพลง “รองเท้าหน้าห้อง” ถูกฆ่าหมกป่า เสียชีวิตมาแล้ว 5 วัน
       วันนี้ (14 มิ.ย.) ร.ต.ต.เมฆสิทธิ์ เล็กทุ่ง ร้อยเวร สภ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้พบศพหญิงไม่ทราบชื่อนอนเสียชีวิตอยู่ในป่ามันข้างทางถนนลูกรัง บ้านเขาสามสิบ ต.เขาสามสิบ อ.เขาฉกรรจ์ ห่างจากภูเขา 300 เมตร สภาพศพเน่าเปื่อยจนจำสภาพหน้าไม่ได้ว่าเป็นใคร โดยเบื้องต้น คาดว่าถูกฆาตกรรม
       หลังรับแจ้งจึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.มานิตย์ ไตรภพ รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พ.ต.อ.เจนเชิง ปทุมสุวรรณ ผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว พ.ต.อ.วุฒิชัย คำพุทธ ผกก.สภ.เขาฉกรรจ์ โดยที่เกิดเหตุ พบศพหญิงสาวนอนเสียชีวิตคว่ำหน้ากับป่าหญ้าขางทาง สวมเสื้อยืดสีขาว กระโปรงสั้น สวมกางเกงซับในสีดำ สภาพศพเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
       ตรวจสอบแล้วไม่พบเอกสารใดๆ ติดตัว และรอบๆ บริเวณไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือถูกอาวุธใดๆ ตามร่างกาย เนื่องจากร่างกายไม่พบร่องรอยของบาดแผล จึงให้แพทย์ร่วมชันสูตรศพเบื้องต้น คาดว่าเสียชีวิตมาไม่น้อยกว่า 5 วัน แต่หาบาดแผล หรือสาเหตุการตายไม่ได้ จึงนำศพส่งสถาบันนิติเวชเพื่อชันสูตรศพหาสาเหตุการตายอย่างแน่ชัดอีกครั้ง
       ด้าน พ.ต.อ.มานิตย์ ไตรภพ รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบเบื้องต้น สภ.เขาฉกรรจ์ ได้รับแจ้งคนหายมีรูปพรรณลักษณะเดียวกันกับผู้ตาย จึงให้ญาติมาดูศพพบว่าผู้ตายคือ นางกาญจนา ถนอมทรัพย์ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 171 หมู่ 11 บ้านโปร่งเกตุ ต.หนองหว้า อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากจุดพบศพประมาณ 20 กม.
      จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า ผู้ตายหายออกจากบ้านพร้อมกับรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เทา ตั้งแต่วันเสาร์ ที่ 9 มิ.ย.55 โดยทางญาติได้มาแจ้งความและออกตามหากระทั่งมาพบว่ากลายเป็นศพแล้ว จากการสันนิษฐานเบื้องต้น ญาติมุ่งประเด็นไปที่สาเหตุชู้สาว เนื่องจากผู้ตายมีหน้าตาสวยงาม และอดีตผู้ตายเป็นภรรยาของนายสมศักดิ์ ภู่มาก หรือ สายัญ นิรันดร นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อดีตแต่งงานกันใหญ่โตเมื่อ พ.ศ.2540 ที่บ้านผู้ตาย มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนอายุ 15 ปี และเลิกหย่าร้างไปได้ประมาณ 7 ปี โดยลูกชายของนักร้องสายัญ ได้อยู่กับแม่ (ผู้ตาย) โดยส่งเสียเลี้ยงดูอยู่ และต่อมาผู้ตายได้แต่งงานใหม่กับข้าราชการนักวิชาการเกษตรจังหวัดแห่งหนึ่ง
พบศพอดีตเมียนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “ร้องเท้าหน้าห้อง “ถูกฆ่าหมกป่า เสียชีวิตมาแล้ว 5 วัน
         ด้านญาติผู้ตายคนหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นคนชอบแต่งตัวสวยงาม และเป็นคนหน้าตาสวยมีหนุ่มๆ มาติดพัน มีอาชีพขายเครื่องสำอางกิฟฟารีน และร้านเสริมสวย ล่าสุด มีดีเจนักจัดรายการคนหนึ่งมาติด และเป็นคนล่าสุดที่ญาติพบเห็นคุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสืบหาหลักฐานจากที่เกิดเหตุ และพยานต่างๆ เพื่อหาสาเหตุการตายต่อไป
        สำหรับนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง นายสายัญ นิรันดร เจ้าของเพลงรองเท้าหน้าห้อง เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง
       ต่อมา ทางญาติของผู้ตายได้เข้ามาขอดูศพเบื้องต้นมั่นใจว่าคือ “ต่าย” หรือ น.ส.กาญจนา ถนอมทรัพย์ อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 171 ม. 11 ต.หนองหว้า อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ซึ่งได้หายออกไปจากบ้านตั้งแต่วันเสาร์ที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีบุตรชายคนเดียวของผู้ตาย คือ นายทรงพล ถนอมทรัพย์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 ร.ร.เขาฉกรรจ์ กำลังยืนมึนงงอยู่ กล่าวแบบเสียขวัญกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองอยู่กับแม่ ส่วนพ่อ คือนายสายัญ นิรันดร จริง แต่ได้แยกทางกันมานานตั้งแต่ตนยังเด็ก มีเพียงแม่ที่ดูแลมาโดยตลอด
        เมื่อวันเสาร์ที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประมาณ 5 โมงเย็น ได้โทรศัพท์หาแม่บอกว่าไปบ้านเพื่อนชื่อ สุ ที่ขายกิฟฟารีนด้วยกัน และให้ตนเองหุงข้าวไว้รอ แต่ก็ไม่กลับบ้านอีกเลย พร้อมกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า หลังได้ดูรูปศพพบว่าเป็นกระโปรงยีนส์ และเข็มขัดที่แม่ใส่ไปวันนั้นจริง โดยในขณะนี้ ยังไม่พบรถยนต์ที่ขับมาด้วย เป็นรถโตโยต้าวีออส สีบอร์นเงิน ทะเบียน กข 2857 สระแก้ว ที่หายไป
        เบื้องต้น ชุดสืบจังหวัดได้ลงพื้นที่คาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนสนิท หรือใกล้ตัวเพราะที่เกิดเหตุพบกระป๋องเบียร์ และถุงขนมด้วย ส่วนสภาพศพถูกผ้ารัดคอจนเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตามตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อนำตัวมาสอบสวน ส่วนนายสายันต์ อยู่ระหว่างการเดินทางมาดูศพ...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 14 มิถุนายน 2555 10:39 น.


รวบยกกระบิ แก๊งปล้นทรัพย์บ้านนักธุรกิจสาว

พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.น.แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา

ตำรวจสืบสวนบช.น.ตามรวบแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจสาว ย่านลาดพร้าว กวาดทรัพย์สินไปร่วม 1 ล้าน เผยหัวโจกทีมปล้นเป็นหัวหน้าแก๊งท่าอิฐที่ยิงตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 53 แต่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา 
       
       วันนี้(13 มิ.ย.) เวลา 10.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.น. พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. แถลงข่าวรวบแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจสาว ประกอบด้วยผู้ต้องหา 4 ราย ได้แก่ นายมงคล หรือปุ้ย บุญเต็ม อายุ 24 ปี ที่อยู่ 21/33 ซ.เคหะคลองเตย 3 แขวงและเขตคลองเตย กทม. ตามหมายจับศาลอาญาที่ 716/55 ลง 17 พ.ค.55 ข้อหาปล้นทรัพย์ นายดรัล หรือแม็ก แซ่ตั้ง อายุ 21 ปี ที่อยู่ 52 ม.1 ต.บ้านกุ่ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี หมายจับศาลอาญาที่ 718/55 ลง 17 พ.ค.55 ข้อหาปล้นทรัพย์ นายไนท์ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี หมายจับศาลเยาวชน และน.ส.ธนนันธ์ หรือจ๋า จิราภรณ์สิริกุล อายุ 26 ปี ที่อยู่ 146 ม.11 ต.หนองโสน อ.สามง่าม จ.พิจิตร ตามหมายจับศาลอาญาที่ 893/55 ลง 12 มิ.ย.55 โดยจับกุมนายมงคลได้ที่แฟลต 20 การเคหะคลองเตย แขวงและเขตคลองเตย กทม. พร้อมของกลางพระเครื่อง 3 องค์ จับกุมนายดรัล ได้ที่หน้าหน้อง 95/229 ลุมพินีเพลสพระราม 9 ตึกเอ ชั้น 17 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. และจับกุมนายไนท์ ได้ที่ริมทางเดินชุมชนล็อก 6 แขวงและเขตคลองเตย กทม.
       
       พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 8 พ.ค.55 เวลา 7.25 น. ได้มีคนร้าย 4 คนบุกเข้าไปในบ้านเลขที่ 312/30 หมู่บ้านเมอริท เพลส ซ.ลาดพร้าว 87 แยก 10 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ แขวงวังทองหลาง กทม. ของ น.ส.สาวิณี พิกุลหอม อายุ 27 ปี นักธุรกิจสาว โดยจับผู้เสียหายมัดมือมัดเท้าและใช้อาวุธปืนลูกโม่บังคับเอาทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท เหตุเกิดท้องที่ สน.โชคชัย จากนั้นเจ้าหน้าสืบสวนติดตามจนทราบว่ากลุ่มคนร้าย คือ นายขวัญชัย หรือดำ จุ้ยมณี หัวหน้านักค้ายาเสพติดรายใหญ่แก๊งท่าอิฐ ซึ่งเคยก่อเหตุใช้อาวุธสงครามปืนอาก้ายิงถล่มตำรวจ บก.สส.บช.น. คือ ด.ต.อรุณ แดงสมุทร เสียชีวิต และ ส.ต.อ.นพดล เหมือนดี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.53 ขณะทำการล่อซื้อยาเสพติดกับแก๊งดังกล่าว
       
       ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ออกสืบสวนจนทราบอีกว่า มีผู้ร่วมขบวนการที่ก่อเหตุปล้นครั้งนี้จึงรวบพยานหลักฐานให้ทางพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด จากการตรวจสอบประวัตินายขวัญชัย หรือดำ พบว่ามีหมายจับอยู่หลายท้องที่ในปี พ.ศ.2553 และพบว่าเมื่อวันที่ 29 พ.ค.55 นายขวัญชัย หัวหน้าแก๊งค้ายาท่าอิฐได้ถูกคนร้ายดักยิงเสียชิวิตที่หมู่บ้านวรางกูร คลอง 3 หมู่ 10 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมูลเหตุน่าจะมาจากการขัดแย้งผลประโยชน์เรื่องยาเสพติดเนื่องจากนายขวัญชัย เป็นนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ส่วนอีกสาเหตุอาจมาจากการแบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัวจากการปล้นบ้านนักธุรกิจสาวครั้งนี้ เพราะผู้ที่ถูกจับกุมได้ส่วนแบ่งเพียงไม่กี่พันบาท ในส่วนที่เหลือนายขวัญชัยเป็นคนเอาไปหมด
       
       จากการสอบถาม น.ส.มณีวรรณ หรือจ๋า พิกุลหอม ผู้เสียหายให้การว่า ได้รู้จักกับน.ส.ธนนันธ์ มาประมาณ 2 ปีแล้ว เพราะทำงานที่เดียวกัน แต่ไม่ได้สนิทกันมากจึงไม่รู้นิสัยใจคอส่วนตัว เพียงแต่เคยบอกว่าทำงานเป็นแอร์โฮสเตสควบคู่ไปด้วย ปกติบ้านหลังนี้จะมีแต่ผู้หญิงอยู่และเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯ กับพัทยาเพราะพี่สาวมีธุรกิจที่นั่น ก่อนเกิดเหตุตอนเลิกงาน น.ส.ธนนันธ์เห็นว่าตนไม่ได้เอารถมาจึงอาสาขับรถไปส่งที่บ้านเมื่อกลางดึกของวันที่ 3 พ.ค.55 อาจจะตั้งใจไปดูลาดเลาไว้ก่อนด้วย เพราะปกติที่บ้านยังไม่เคยมีใครมา กระทั่งวันเกิดเหตุพี่สาวตนก็กลับมาจากพัทยา กลุ่มคนร้ายคงเห็นว่าถ้ากลับมาคงมีทรัพย์สินจึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว
       
       สอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายขวัญชัย ลงมือก่อเหตุปล้นบ้านหลังดังกล่าวจริง โดยมี น.ส.ธนนันธ์ เป็นผู้วางแผนและในคืนก่อเหตุได้พากลุ่มผู้ต้องหาไปดูบ้านผู้เสียหายจึงทำการออกหมายจับน.ส.ธนนันธ์ ยังพบว่านายดรัลก็เป็นแฟนหนุ่มกับ น.ส.ธนนันธ์ โดยนายมงคล ทำหน้าที่ถือปืนดูต้นทางอยู่ข้างล่างภายในบ้าน นายดรัลและนายไนท์ทำหน้าที่จับผู้เสียหายมัด พร้อมรื้อค้นทรัพย์สิน ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดจำนวน 1 ล้านบาทนั้น พวกตนได้ค่าส่วนแบ่งเพียงคนละไม่กี่พัน ที่เหลือนายขวัญชัยหัวหน้าแก๊งเอาไปเพียงคนเดียวและัเสียชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ ยังสารภาพอีกว่า ได้วางแผนที่จะลงมือปล้นบ้านของนายทหารนอกราชการ ในซอยลาซาล กทม. อีกด้วย โดยไปตระเวนดูบ้านเป้าหมายแล้ว แต่ยังไม่ทันลงมือเนื่องจากมาถูกจับกุมในคดีนี้เสียก่อน
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ตามหมายจับของศาลฯ และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 13 มิถุนายน 2555 15:28 น.




วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รวบ คุณยายมหาภัย แก๊งตระเวนฉกทรัพย์ในตลาดนัด-งานเทศกาล


พัทลุง - ตร.พัทลุง รวบตัวคุณยายวัย 70 ชาวภูเก็ต หลังก่อเหตุล้วงกระเป๋าในตลาดนัดแม่ขรี จ.พัทลุง สารภาพเดินทางมาพร้อมพวกอีก 4 คน เพื่อก่อเหตุฉกทรัพย์ในตลาดนัด และงานเทศกาลโดยเฉพาะ ตร.เร่งขยายผลติดตามผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี
     วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.พัทลุง ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ตะโหมด จ.พัทลุง ได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวนางเอี่ยม เอี่ยมศรี อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69/915 ม.1 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังรับแจ้งจาก นางจินดา เพ็ชรสมบูรณ์ อายุ 68 ปี แม่ค้าขายยาเส้นในตลาดนัดแม่ขรี อ.ตะโหมด ที่ถูกผู้ต้องหาล้วงกระเป๋าขณะยืนขายของให้แก่ลูกค้าในตลาดนัด จึงควบคุมตัวนางเอี่ยมส่ง พ.ต.ท.ภูมิศักดิ์ บุญรัตนัง สารวัตรเวร
      จากการสอบสวนในเบื้องต้น ทราบว่า นางเอี่ยมได้เดินทางมาจาก จ.ภูเก็ต พร้อมพวกอีก 4 คน เพื่อเดินทางมาทำงานล้วงกระเป๋าตามตลาดนัด และงานเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะ และในเช้าวันนี้มีตลาดนัดวันอังคารที่ตลาดสดแม่ขรี นางเอี่ยมพร้อมพวกได้ออกมาวนเวียนในตลาดนัดตั้งแต่เช้า จนกระทั่งสบโอกาสช่วงจังหวะคนชุลมุน จึงเดินล้วงประเป๋านางจินดา เพ็ชรสมบูรณ์ อายุ 68 ปี แม่ค้าขายยาเส้นผู้เสียหาย ได้เงินไป 900 บาท แล้วเดินวนเวียนอยู่ในตลาดนัด เพื่อหาเหยื่อรายใหม่ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ดังกล่าว 
โฉมหน้านางเอี่ยม ผู้ก่อเหตุล้วงกระเป๋าที่ถูกจับกุมได้
       
       ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า สำหรับในตลาดนัดวันอังคาร เขตเทศบาลตำแม่ขรี มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความบ่อยครั้งเกี่ยวกับพฤติกรรมล้วงกระเป๋าของคนกลุ่มนี้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมมาได้ แต่ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่ผู้เสียหายรู้ตัวเร็ว และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 12 มิถุนายน 2555 10:42 น.