This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สลด...เด็กวัย 14 ปี มาตุฆาตแม่ดับ เหตุสั่งห้ามเล่นเกม

สลด! เด็กวัย 14 ปี มาตุฆาตแม่ดับ เหตุสั่งห้ามเล่นเกม
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม : 31 ตุลาคม 2555 13:57 น.
นางอริยา เกสดี อายุ 50 ปี ผู้เสียชีวิต

   เกิดเหตุบุตรชายวัย 14 ปี ใช้อาวุธมีดสปาต้าแทงแม่บังเกิดเกล้าจนเสียชีวิตคาห้องนอน พี่สาวพยายามเข้าช่วยเหลือกลับโดนจนสาหัสไปอีกคน เผยผู้ก่อเหตุเครียดถูกต่อว่าเรื่องเล่นเกมคอมพ์ และในอดีตมีอาการคล้ายเด็กพิการทางสมอง 

       
       วันนี้ (31 ต.ค.) เวลา 03.30 น. พ.ต.ต.ประยุทธ พึ่งเคหา พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ประเวศ ได้รับแจ้งเหตุลูกชายใช้อาวุธมีดแทงมารดาเสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 99/731 หมู่บ้านนักกีฬา ซ.หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง 5 แยก 12 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. รุดไปตรวจสอบพร้อมฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวเนื้อที่ราว 100 ตารางวา อยู่หลังโรงเรียนศรีพฤฒา ภายในบ้านพบคราบเลือดเปรอะไปทั่วบ้าน ที่ประตูห้องนอนพบศพนางอริยา เกสดี อายุ 50 ปีนอนคว่ำจมกองเลือด สวมชุดนอนลายลูกไม้ มีบาดแผลถูกอาวุธมีดเข้าที่ด้านหลังเป็นแผลฉีก 4 แห่ง ส่วนผู้บาดเจ็บอีกรายญาตินำส่ง รพ.ลาดพร้าว ชื่อ น.ส.กาญจนาพร เกสดี อายุ 29 ปี บุตรสาวผู้ตาย มีบาดแผลที่แขนและขาหลายแห่ง 

   ส่วนมือมีดรายนี้เป็นบุตรชายของผู้ตายชื่อ ด.ช.แบงก์ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนศรีพฤฒา ยืนถือมีดสปาต้าด้วยอาการเหม่อลอย มีนายพงษ์พันธ์ เกสดี อายุ 60 ปี บิดาคอยปลอบใจอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปสอบสวนที่ สน.ประเวศ
       
       จ.ส.อ.พงษ์พันธ์ เกสดี อายุ 60 ปี อดีตทหารสื่อสาร สามีผู้ตายกล่าวว่า ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่คิดว่าลูกชายจะทำร้ายแม่ได้ โดยนิสัยแล้วลูกชายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยช่วยทำงานบ้าน กินน้ำก็ไม่กรอก เล็บก็ไม่ตัด และตอนเด็กก็มีอาการคล้ายเด็กพิการทางสมอง แต่ก็ไปรักษาแล้วก็ไม่มีอาการอีก แต่ก็คอยเตือนแม่กับพี่สาวว่าอย่าไปว่าน้องมาก เพราะเป็นเด็กเก็บกดไม่มีที่ระบายออก ตนกับภรรยาก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน เพราะไม่ถูกกับญาติพี่น้องตน จึงไปเช่าบ้านอยู่ใก้ลกัน จนเกิดเหตุลูกสาวโทร.มาบอกจึงรีบเข้าไปที่บ้านเห็นลูกชายยืนถือมีดอยู่หน้าบ้านแล้ว
       
       พ.ต.ต.ประยุทธเปิดเผยว่า ด.ช.แบงก์ ผู้ก่อเหตุเล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุอยู่ในบ้านกับแม่และพี่สาวและหลานรวมเป็น 4 คน ตนนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ เข้าไปดูในเฟซบุ๊กและดูโทรทัศน์ด้วย ส่วนคนอื่นเข้านอนแล้ว ราวกลางดึกมารดาเข้ามาไล่ให้เข้าห้องนอน ทำให้โมโหประกอบกับโดนดุด่าว่าเป็นเด็กไม่ช่วยทำงานบ้านเล่นแต่เกมกับคอมพิวเตอร์ จึงไปหยิบมีดสปาต้าแล้วเข้าไปไล่แทงและฟันแม่ภายให้องนอน แต่แม่พยายามวิ่งหนีแต่ไม่พ้นถูกแทงตายคาประตูห้องนอน ก่อนที่จะถือมีดเข้าไปไล่ฟันพี่สาวในห้อง แต่พี่ได้วิ่งหนีเข้าไปล็อกห้องนอนแล้วโทร.บอกบิดาให้มาช่วย เบื้องต้น ด.ช.แบงก์ยังอยู่ในอาการเซื่องซึมไม่พูดอะไรมาก บ่นเพียงสาเหตุครั้งนี้ที่ลงมือทำอย่างนี้ว่า “มันหลายเรื่อง”
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้สอบปากคำพร้อมกับผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังเป็นเยาวชนอยู่ ก่อนที่จะส่งดำเนินคดีฆ่าคนโดยเจตนา และจะส่งไปตรวจสภาพจิตใจอีกครั้ง
       
       ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. พ.ต.ท.สรรเสริญ กรีอารี พนักงานสอบสวน ผู้ชำนาญการพิเศษ รับผิดชอบงานสอบสวน สน.ประเวศ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนเวรรับผิดชอบส่งผู้ต้องหาฝากขังศาลนำตัว ดช.แบงก์ (นามสมมุติ) อายุ14ปี ส่งตัวผู้ต้องหารายนี้ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง(สาขามีนบุรี) ก่อนนำตัวไปควบคุมต่อที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาวะทางจิตต่อไป
       
       พ.ต.ท.สรรเสริญ เปิดเผยว่า จาการพูดคุยกับผู้ก่อเหตุทราบว่ามูลเหตุครั้งนี้น่าจะมาจากปัญหาภายในครอบครัว ที่ผู้ก่อเหตุมีอาการเก็บกดจากการถูกมารดาว่ากล่าวห้ามไม่ให้เล่นเกมส์อยู่เป็นประจำจนเกิดความเครียดก่อนก่อเหตุสลด หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ทำการตรวจสอบหาสารเสพติดจาก ดช.แบงก์ พบว่าไม่มีการใช้สารเสพติดแต่อย่างใด นอกจากนี้จากการพูดคุยสอบถามบรรดาญาติ ทำให้ทราบว่า ดช.แบงก์ มีพฤติกรรมติดเกมส์คอมพิวเตอร์และมีอารมณ์โมโหร้ายรุนแรง แต่ไม่เคยก่อเหตุรุนแรงมาก่อน
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า ได้เดินทางไปตรวจสอบที่บริเวณหน้า รร.ศรีพฤฒา ย่านหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ที่ดช.แบงก์ ศึกษาอยู่พบว่ามีร้านเกมส์เปิดอยู่หลายร้านในละแวกนั้น เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปยังร้านเกมส์ไม่มีชื่อที่ ดช.แบงก์เข้าไปเล่นเป็นประจำ พบว่าเป็นร้านห้องแบ่งให้เช่าชั้นเดียวมีคอมพิวเตอร์ 8-10 เครื่อง เมื่อสอบถามเกี่ยวกับ ดช.แบงก์ พบว่ามีกลุ่มเพื่อนนักเรียนให้ข้อมูลว่า ดช.แบงก์ มักเข้ามาเล่นเกมส์กับกลุ่มเพื่อนๆ เป็นประจำโดยส่วนใหญ่จะเป็นเกมส์ต่อสู้ นอกจากนี้ ยังสังเกตุเห็นว่าระหว่างเล่นเกมส์นั้น ดช.แบงก์ มักจะมีอาการเก็บกดด้วยจึงคาดว่าาน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญในการก่อเหตุครั้งนี้ จากการสังเกตุพฤติกรรม ของ ดช.แบงก์ พบว่าในขณะที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ไม่มีอาการสำนึกผิดหรือแสดงอาการเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีอาการเหม่อลอยไม่ค่อยให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ :
www.manager.co.th



ทิ้งสารพิษฉะเชิงเทรา พบสารก่อมะเร็งเกินมาตรฐาน


ทิ้งสารพิษฉะเชิงเทรา พบสารก่อมะเร็งเกินมาตรฐาน
โดย : ธนภัท กิจจาโกศล



   ทิ้งสารพิษตกค้าง 11 จุดทั่วฉะเชิงเทรา พบสารก่อมะเร็ง เกินมาตรฐาน 20-30 เท่า ปัญหาการกำจัดกากสารเคมีและสารพิษจากอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้อง กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลกระทบกับสุขภาพและการดำเนินชีวิตของคนในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา หลังพบว่ามีการนำมาทิ้งกระจายทั่วทั้งจังหวัดมากกว่า 11 จุด จนเกิดการรั่วไหล ตกค้าง ปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับอุปโภค-บริโภค จนสามารถตรวจพบสารก่อมะเร็งหลายชนิด เกินมาตรฐานเกือบ 20-30 เท่า

จนสาธารณสุขจังหวัดต้องประกาศห้ามใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติรอบบริเวณนั้น ๆ เกิดปัญหากลิ่นเหม็นรุนแรง กระทบต่อสุขภาพ พืชผลการเกษตรลดลง และสัตว์เลี้ยงตายโดยไม่ทราบสาเหตุ

บ่อลูกรังร้าง ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ที่บริษัท เคเอสดี รีไซเคิ้ล จำกัด ซื้อไว้และมีการลักลอบนำกากสารเคมีจากการนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี และพื้นที่อื่น มาทิ้งตั้งแต่วันที่ 20 กพ.2555 กระทั่งสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านในพื้นที่จากกลิ่นเหม็นรุนแรง นำไปสู่การรวมตัวของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบกว่า 3,000 คน ร้องเรียนผ่านหน่วยงานราชการ เช่น กรมโรงงานอุตสหกรรม จังหวัด กรมควบคุมมลพิษ สำนักนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) 

จนนำไปสู่การตรวจสอบการลักลอบทิ้งกากสารเคมีในพื้นที่ทั้งหมด พบว่า มีการลักลอบนำกากอุตสาหกรรมมาทิ้งในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา จำนวนมากกว่า 11 จุด คือที่ อ.พนมสารคาม 6 จุด อ.แปลงยาว 5 จุด มีพื้นที่ขนาดตั้งแต่ 1 - 200 ไร่ และเกือบทั้งหมดอยู่ด้านเหนือของจังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่สูงกว่า หลังชาวบ้านร้องเรียนผ่านไปนานกว่า 2 เดือน ประกอบกับ มีการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า มีการลักลอบปล่อยน้ำเสียหรือกากสารเคมี จากโรงงานรับบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมในพื้นที่ ลงสู่แหล่งน้ำในช่วงฤดูฝน จนมีการแพร่กระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง


สัตว์เลี้ยงออกลูกตายยกคอก พบน้ำใช้ปนเปื้อนสารฟีนอล


นางดวงเดือน ศรีมาลัย อายุ 44 ปี  อาชีพเลี้ยงหมู ระบุว่า การเลี้ยงหมูหลังมีวิกฤตการณ์ทิ้งกากสารเคมีและปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ พบว่า ผลการเลี้ยงหมูได้ผลผลิตตกต่ำมาก เพราะลูกหมูที่ออกมาส่วนใหญ่จะตายยกคอกจำนวนมาก โดยไม่ทราบสาเหตุ แม่พันธ์ที่มีลูกรอด จากที่เคยรอดแม่ละ 15-20 ตัว เหลือลูกที่รอดเพียง 4-5 ตัวเท่านั้น เราก็ไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งแจ้งให้ทางจังหวัดเข้ามาตรวจสอบ

"ผลการนำน้ำที่ใช้อยู่จากบ่อน้ำตื้นวงซีเมนต์ (ลึก 5-10 เมตร) มาตรวจพบสารฟีนอลและโลหะหนักปนเปื้อนเกินมาตรฐาน  คาดว่า สารเคมีเหล่านี้น่าจะมากับน้ำที่มีการปล่อยจากโรงงานกำจัดของเสีย  ซึ่งอยู่เหนือลำน้ำออกไป  ทุกวันนี้การเลี้ยงหมูอยู่ในขั้นขาดทุน  จำเป็นต้องใช้น้ำดังกล่าวอยู่ ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน  ตอนนี้บ้านอยู่ใกล้จุดที่มีการเอากากสารพิษมาทิ้งที่สุดแค่ 1 กม.เศษ

นางดวงเดือน กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ลุงบ้านใกล้กัน มีอาชีพเลี้ยงปลา พยายามหาสาเหตุว่า ทำไมปลาที่เขาเลี้ยงไว้ตาย ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ กระทั่งมาเกิดเหตุเรื่องปัญหาชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อต้าน หลังได้รับผลกระทบเรื่องกลิ่นเหม็นมาก เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขจึงนำน้ำไปตรวจและพบว่า มีสารปนเปื้อน ปัจจุบันลุงข้างบ้านได้ตายไปก่อนหน้านี้ โดยที่ไม่รู้ว่า ปลาที่แกเลี้ยงไว้ตายเพราะอะไร

   ส่วนนางละมุน กลิ่นนุช อายุ 55 ปี อาชีพทำสวนยาง  บอกว่า สวนอยู่ใกล้กับจุดที่มีการทิ้งสารเคมี ตอนแรกๆก็พบว่ามีการนำมาทิ้ง ได้พยายามไปทักท้วง แต่เขาชี้แจงว่า ทำถูกต้อง อบต.รู้ ไม่มีพิษ พอมาระยะหลังก็เกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนทำงานกันไม่ได้ กลางคืนนอนแทบไม่ได้  คนงานกรีดยางไม่ยอมกรีดยางให้  ผลผลิตยางที่กรีดน้ำยางได้ก็น้อยกว่าเดิม

ด้านนายมานัส สวัสดี  อายุ 60 ปี ข้าราชการเกษียณ เจ้าของสวนยางในพื้นที่ ต.เกาะขนุน บอกว่า บริเวณสวนของตนเอง มีการกว้านซื้อบ่อไว้ใกล้ ๆ กับบ่อของตนเอง แล้วนำสารเคมีและกากอุตสาหกรรมไปทิ้ง รวมทั้งทิ้งลงไปในบ่อน้ำของตน ที่ขุดไว้สำหรับทำการเกษตรด้วย ปลาที่เลี้ยงไว้ตายหมด ซึ่งได้มีการแจ้งความไว้ เพื่อให้หาคนผิด  ส่วนปัญหาการทิ้งสารเคมีในพื้นที่ มันเกิดขึ้นมานาน โดยมีคนพื้นที่รู้เห็นด้วย ในฐานะเจ้าของสวน เห็นความแตกต่างชัดเจน ยางเคยกรีดได้รอบละ 60-70 แผ่น ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 40 แผ่น  จะบอกว่าไม่มีผลกับต้นไม้ได้อย่างไร

" บริเวณ ต.หนองแหน มีการปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้เพื่อส่งออกประเทศญี่ปุ่นด้วยราว 200 ไร่ เชื่อว่า เมื่อสารเคมีเปล่านี้ไปเจอปน หรือกลายเป็นสารตกค้าง อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในอนาคตได้" นายมานัสกล่าว

   สารก่อมะเร็งเกินมาตราน 20-30 เท่า ลักลอบทิ้งลงแหล่งน้ำกว่า 7 ปี


นายสุนันท์ นิดร แกนนำชาวบ้าน ม.12 บอกว่า การทิ้งสารเคมีในพื้นที่ครั้งใหญ่เริ่ม 20กพ.2555  มีการนำรถบรรทุกกากสารเคมีมาลงติดต่อกัน จนทำให้รถบรรทุกติดกันเป็นแถวยาวกว่า 3 กม. ทิ้งทั้งวันทั้งคืน ในบ่อลูกลังเก่า เนื้อที่ประมาณ 10-15 ไร่ ช่วงระยะเวลา 3 เดือน จนส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนชาวบ้านทนไม่ได้ต้องรวมตัวกันเพื่อต่อต้าน ถึงขั้นนำชาวบ้านกว่า 300 คนไปปิดบ่อ และยึดรถนำการสารพิษมาไว้ที่ สภ.หนองแหน จำนวน 2 คัน

"ชาวบ้านทำทุกอย่างตั้งแต่ร้องหน่วยงานท้องถิ่น อำเภอ จังหวัด กรม กระทรวง ดีเอสไอ และสำนักนายกรัฐมนตรี ปัญหาการลักลอบนำของกากสารพิษมาทิ้งเกิดจาก บริษัทรับกำจัดสารพิษ รับงานไว้มากเกินไป เพื่อมาบำบัด แต่เมื่อบำบัดไม่ทันก็จะใช้วิธีการนำไปทิ้งในจุดต่าง ๆ  โดยเฉพาะการไปกว้านซื้อบ่อลูกลัง ซึ่งไม่มีราคา เพราะถูกขุดหน้าดินออกไปหมดแล้ว เพื่อไว้สำหรับนำสารเคมี กากอุตสาหกรรมเหล่านี้ไปทิ้งไว้ก่อน ส่วนที่บำบัดในโรงงานก็ทำไป บางครั้งก็ลักลอบปล่อยออกตามลำลางสาธารณะ แหล่งน้ำต่าง ๆ ด้วย" นายสุนันท์ กล่าวและว่า

   ชาวบ้านรวมตัวกันตั้งแต่ หมู่ที่ 6, 7, 8, 9 ,12 ,14 ต.หนองแหน และหมู่ 9, 12 ต.เกาะขนุน ที่ได้รับความเดือนร้อนโดยตรงกว่า 3000 คน อยู่ใกล้จุดที่มีการลักลอบทิ้ง จากประชากรทั้งหมด 10000 กว่าคน โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดคือ วันที่ 8 กค.55 ชาวบ้านรวมตัวกันมากกว่า 300 คนไปปิดบ่อที่มีการนำกากสารเคมีไปทิ้ง และรวมตัวกันเป็นกลุ่มตัวแทนมาคอยตรวจสอบการเข้าออกของรถบรรทุกสารเคมี ว่า มีรถอะไรเข้ามาในพื้นที่บ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำสารเคมีเข้ามาทิ้งในพื้นที่อีก

   สำหรับแผนการแก้ปัญหากากสารพิษที่ถูกนำมาทิ้งในพื้นที่ หลังจากมีการร้องเรียนและกรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา เริ่มจากบริษัทปูนซิเมนต์ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เสนอตัวมากำจัดให้ในราคา 300 ล้านบาท , บริษัทอีโก้เวิร์ด จก.เสนอตัว เข้ามาดำเนินการทำให้น้ำเสียใส ด้วยการใช้สารเคมีบำบัด โดยสูบน้ำขึ้นมาบำบัดให้สะอาด จนหมด พร้อมทั้งขุดดินและตะกอนมาทำให้สะอาด ด้วยงบ 30 ล้านบาทภายใน 6 เดือน แต่ก็ผู้ประกอบการไม่รับข้อเสนอดังกล่าว

โดยเสนอให้ บ.สยามเว้สต์เซอวิส จก. เข้ามาดำเนินการ เพราะเป็นกลุ่มบริษัทเดียวกัน ด้วยวิธีการฉีดสารเคมี เพื่อลดกลิ่น นำดินมาถมเพื่อทำคันแบ่งพื้นที่เป็นบ่อเล็ก เพื่อบำบัดที่ละบ่อ ให้น้ำสะอาด พร้อมทั้งนำดินที่ปนเปื้อนสารพิษมาบำบัดด้วย ภายในเวลา 2 เดือน  ซึ่งชาวบ้านกังวัลใจว่า การถมดินดังกล่าวจะเป็นการถมบ่อ และมีการบำบัดเพียงน้ำที่เหลือเท่านั้น จึงไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้

ส่วน นางประนอม พุฒใจดี แกนนำชาวบ้านอีกคน บอกอีกว่า หากการดำเนินการแก้ปัญหา ไม่เป็นไปตามที่มีการระบุไว้ ชาวบ้านจะรวมตัวเพื่อต่อต้านให้ถึงที่สุด เนื่องจากคนที่รับกรรมและอยู่ในพื้นที่คือ ชาวบ้าน คนที่มาทำเสร็จแล้วก็ไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้มาอยู่กับพวกเราตลอดชีวิต ชั่วลูกชั่วหลาน

"ตอนนี้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ มีการตรวจพบสารฟีนอล เกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในบ่อน้ำตื้น สำหรับกินและใช้ ลึก 8-10 เมตร จนสำนักงานสาธารณสุขประกาศแจ้งให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำ คนที่ใช้แล้วแพ้ เพราะไม่มีทางเลือก ก็มีผื่นคันขึ้นตามต้ว น้ำจะกินต้องไปเอารับน้ำจากจุดที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลนำรถมาแจกเป็นจุด ๆ 3จุด ก็ยากลำบากอยู่แล้ว หากจะแก้ปัญหาที่จะเป็นผลกระทบต่อชาวบ้านในอนาคตอีก จะให้ชาวบ้านยอมได้อย่างไร " นางประนอมกล่าวและว่า อยากรู้กลางคืนต้องมาลองนอนที่นี่ซักคืน  จะเหม็นมากจนนอนไม่ได้ จนต้องตื่นขึ้นมา เมื่อต้องเป็นอย่างนี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความเครียด ทำมาหากิน ประกอบอาชีพสะดุดไปหมด

ด้านพระท๊อป  พระลูกวัดเขาสุวรรณคีรี  เดินทางมาตรวจสอบข้อมูลแทนเจ้าอาวาส ในฐานะวัดที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า  ปัญหาของคนพื้นที่รวมทั้งพระคือ ผลจากการนำน้ำในแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะบ่อน้ำตื้นที่ชาวบ้านใช้อุปโภคบริโภคไปใช้ไม่ได้ มีสารโลหะหนักต่าง ๆ เช่น ปรอท ฟีนอล  สูงกว่ามาตรฐาน 20-30 เท่า  ทำให้ระบบน้ำใช้ของวัดต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด จะใช้น้ำบ่อเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว  แม้วัดจะอยู่ห่างจากจุดต่าง ๆ 4-5 กม.ก็ตาม  เนื่องจากผลข้างเคียงเกิดกับเจ้าอาวาสวัดแล้ว เนื่องจากเดิมท่านป่วยอยู่แล้ว เมื่อสูดดมกลิ่นเหม็นรุนแรง ทำให้อาการท่านหนักขึ้น  จำเป็นต้องไปนอนที่โรงพยาบาล ส่วนน้ำดื่มคงไม่สามารถดื่มน้ำบ่อได้อีกแล้ว เพราะจากข้อมูลที่ชาวบ้านและวัดเห็นรวมกัน พบว่า มีโรงงานทิ้งลักลอบของเสียลงแหล่งน้ำมาก่อนหน้านี้ติดต่อกันกว่า 7 ปี

   สำหรับการนำน้ำเสียในพื้นที่ไปตรวจสอบหาสารเคมีอันตราย ที่ บ.เทสท์เทค จก. ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณสารฟีนอล (Phenol) 29.14 mg/L เกินจากค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ต้องต่ำกว่า 1.0 mg/L เมื่อสัมผัสจะกัดผิวหนังและซึมเข้าสู่กระแสเลือด เป็นสารก่อมะเร็ง , สังกะสี (Zinc) 31.16 mg/L เกินจากค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ต้องต่ำกว่า 5.0 mg/L ,ทองแดง (Copper) 3.53 mg/L เกินจากค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ต้องต่ำกว่า 2 mg/L  ,โกรเนียม (Chromium) 1.66 mg/L เกินจากค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ต้องต่ำกว่า 0.75 mg/L เป็นสารก่อมะเร็ง(ปอด) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ภายหลังตรวจพบสารก่อมะเร็งในแหล่งน้ำ นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นำน้ำอุปโภคไปบริการแก่ประชาชน 3 จุด พร้อมทั้งแจกจ่ายหน้ากากอนามัย 10,000 ชิ้น และประสานให้มีการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลสุขภาพประชาชน โดยมีตัวเลข ประชาชนป่วย ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ 2 แห่ง จำนวน 838 ราย ส่วนใหญ่มีอาการระบบทางเดินหายใจ แสบคอ หายใจติดขัด แสบจมูก มีผดผื่นคันตามผิวหนัง นอกจากนี้ยังสุ่มเก็บตัวอย่างปัสสาวะของชาวบ้านหมู่ที่ 7 จำนวน 140 ตัวอย่าง เพื่อตรวจหาแมงกานีส ตะกั่วและสังกะสี รวมทั้งตรวจเลือดเพื่อหาโครเมียม นิกเกิ้ล สารปรอท สารฟีนอล ส่งไปยังสำนักโรคประกอบอาชีพ กรมควบคุมโรคติดต่อ เพื่อตรวจวิเคราะห์ ซึ่งยังไม่ทราบผล


คพ.เตรียมตรวจสอบน้ำผิวดินรัศมี 5 กม.รอบจุดปัญหา 


   นายวรศาสตร์ อภัยพงษ์  รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษได้ยืนยันจุดยืนว่า ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีการนำดินลงไปถมแบ่งเป็นบ่อย่อย ๆ เพื่อบำบัดที่ละบ่อ เพราะเป็นการนำดินไปปนเปื้อนเพิ่มขึ้น  แต่ขั้นตอนดังกล่าวกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ดูแลกำกับและเห็นชอบให้ดำเนินการได้ หน่วยงานที่กำกับดูแลก็ต้องรับผิดชอบกับมาตรฐานที่อนุมัติให้ทำ วิธีการจะถูกต้อง ผิดหรือถูก คำตอบมีอยู่แล้ว สำหรับกรมควบคุมมลพิษ จะทำความเห็นเสนอภายหลังเก็บข้อมูลตามกฏหมาย หากตรวจสอบแล้ว สิ่งแวดล้อมไม่ดีขึ้น ก็จะส่งความเห็นไปที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อตัดสินพิจารณาอีกครั้ง หากพบส่วนราชการทำไม่ถูกต้องอย่างก็ ก็สามารถสั่งการให้แก้ไขได้  นอกจากนั้นประชาชนสามารถฟ้องร้องหน่วยงานราชการได้ด้วยเช่นกัน หากการอนุมัติให้ทำส่งผลเสียต่อคนในพื้นที่

" เราสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมาย หากพบว่า ดินหรือน้ำไม่ปลอดภัย ก็จะส่งเรื่องเข้าไปพิจารณาตามกระบวนการ ยืนยันว่า กรมควบคุมมลพิษ จะไม่ทิ้งเรื่องนี้จนกว่าจะแก้ปัญหาได้ โดยในวันที่ 11 กย.นี้จะเริ่มกระบวนการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบ โดยเริ่มจากน้ำผิวดินในรัศมี 5 กม.รอบจุดที่พบปัญหาการทิ้งกากอุตสาหกรรม และร่วมตรวจสอบตามกระบวนการอื่นไปพร้อม ๆ กันด้วย" นายวรศาสตร์ กล่าว

ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าว่า กรมดูแลปัญหาตาม พรบ.สิ่งแวดล้อม หากสิ่งแวดล้อมปนเปื้อน ได้รับผลกระทบ เราสามารถดำเนินการตรวจสอบ ควบคุมไม่ให้สิ่งแวดล้อมแพร่กระจายได้  แต่หากการปฏิบัติไม่ได้มาตรฐาน คงจะไม่ยินยอมให้มีการขนย้ายดินหรือน้ำที่ปนเปื้อนไปยังพื้นที่อื่นรอบนอกอีก  ทางกรมจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจว่า มีอะไรมาปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมบ้าง ดูเรื่องดิน  น้ำที่แอบทิ้งลงแหล่งน้ำสาธารณะตามที่ประชาชนแจ้ง ปนเปื้อนชั้นดินไหนหรือไม่ อากาศหรือแก๊สในพื้นที่ ซึ่งก็เหม็นจริง จากผมตรวจที่เราทราบ คือพบสารฟีนอลเกินมาตรฐาน จะต้องมีการเก็บตัวอย่างให้ครอบคลุมรัศมีทั้งพื้นที่ เพื่อพิจารณาว่า จะต้องประกาศเป็นเขตมลพิษหรือไม่

"ความเห็นของกรมควบคุมมลพิษคือ เราไม่เห็นด้วยกับวิธีการเอาดินลงไปถมเพื่อแบ่งบ่อแล้วค่อยบำบัด มีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้ อยู่ดี ๆ เอาดินไปปนเปื้อนอีกแล้ว เป็นข้อห่วงใยของทุกฝ่ายว่า การถมไปถมมาก็จะกลายเป็นถมทั้งพื้นที่ ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะนำไปเสนอผู้ว่าฯ ด้วย ซึ่งหลังจากบำบัดแล้ว น้ำจะนำไปทิ้งต้องได้มาตรฐาน  ตะกอนที่ตกลงไปก้นบ่อจะต้องถูกบำบัด  ดินรอบ ๆ ขอบบ่อ ใต้พื้นข้างล่างต้องจัดการให้สะอาด รวมทั้งดินที่เอาไปถมใหม่ต้องจัดการให้สะอาดก่อนจะเอาออกไปพื้นที่อื่น  หลังจากนี้จะทำความเห็นส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรมด้วย " นายวิเชียรกล่าว

กรมโรงงานฯ ให้บำบัดตามมาตรฐาน

นายไสว โรจนะศุภฤกษ์ หน.สำนักกำจัดกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม  กล่าวว่า ทางเราในฐานะหน่วยงานที่ดูแล ได้เข้าพบชาวบ้าน และยินดีทุ่มเทจะทำงานแก้ปัญหานี้ให้ได้ โดยได้เรียกบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหาซึ่งรับงานจาก บริษัทเคเอสดีฯ บริษัทต้นเหตุนำสารพิษมาทิ้ง ให้มาสาธิตวิธีการ รวมทั้งเสนอแผนการจัดการ  โดยจะให้ดำเนินการทีละบ่อ หลังจากน้ำเสียจากสารพิษตกตะกอน ก็จะสูบออก และลอกตะกอนออก เพื่อรองรับน้ำที่บำบัดมาจากบ่อใกล้เคียง ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องให้บริษัทนี้ออกไป แล้วเอารายใหม่มาทำ

"ถ้ารอให้มีการสร้างคันดินจนเสร็จ ชาวบ้านก็รอไม่ไหว เพราะกลิ่นเหม็นมาก เมื่อทำคันดินบ่อแรกแล้ว ก้ต้องดำเนินการบำบัดควบคู่ไปเลย และเมื่อบำบัดน้ำเสร็จทั้งหมด คันดินก็ต้องดำเนินการให้กลับเป็นบ่อเหมือนเดิม เมื่อแก้ไขจนไม่เป็นอันตราย ทางผู้ประกอบการจะเอาไปถมที่ไหนก็แล้วแต่ ทางกรมได้กำหนดให้ผู้รับเหมาเข้ามารับบำบัด จะต้องดำเนินการตามหลักเกณ์ที่เรากำหนดให้ได้มาตรฐาน ซึ่งอยากให้กรมควบคุมมลพิษ มาร่วมตรวจสอบด้วย

บริษัทรับบำบัดชี้แจงจำเป็นต้องแบ่งซอยบ่อให้ทำงานง่าย

นางวีระวรรณ สายสุวรรณ กรรมการ ผจก.บ.สยามเวสต์เซอวิส จก. ชี้แจงว่า บริษัทเข้ามารับจ้างกำจัดสารน้ำเสียในพื้นที่ ม.7 ต.หนองแหน  ซึ่งเป็นลักษณะบ่อขนาดใหญ่เนื้อที่มากกว่า 9 ไร่ ซึ่งเท่าที่คำนวนปริมาณน้ำที่ต้องบำบัดมีปริมาณกว่า 30000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งต้องใช้สารจากแร่ภูเขาไฟ ประมาณ 1 กก./น้ำเสีย 1 ลบ.ม. ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ตกตะกอนและดูซับกลิ่น เมื่อเป็นน้ำใส จะต้องนำมาตรวจวิเคราะห์ หากผ่านการทดสอบ ก็จะสูบออกไป ส่วนสาเหตุที่ต้องนำดินมาถมทำคัน เพื่อแบ่งเป็นบ่อเล็ก เพื่อสะดวกในการทำงาน เนื่องจากไม่สามารถทำได้ทีเดียวในบ่อใหญ่ ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย

นางวีระวรรณ กล่าวอีกว่า ภัยหลังจากสูบน้ำที่บำบัดออกแล้ว จะทำความสะอาดบ่อ เพื่อทำในบ่อต่อๆไป เพื่อสูบน้ำที่บำบัดแล้วมาใส่ ก่อนสูบออกไป สำหรับดินที่นำมาถมลงในบ่อเพื่อทำคันดินนั้น จะมีการตรวจสอบว่า มีการตกค้างหรือมีสารพิษหรือไม่ หากพบเกินกว่ามาตรฐาน ก็จะต้องนำไปบำบัดหรือทำลายตามวิธีการต่อไป  โดยยืนยันว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน ตามแผนที่เสนอกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้อง ก็สามารถขยายเวลาออกไปได้  ซึ่งปัญหาล่าช้าก่อนหน้านี้เพราะมีหนังสือจากจังหวัดให้มีการระงับ ขณะนี้ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการต่อไปได้แล้ว  ที่ผ่านมามีการหยุดหลายครั้ง อันเนื่องมาจากมีการเดินทางเข้ามาตรวจสอบ  ซึ่งต่อไปจะให้มีการแจ้งผ่านมาทาง อบต.เพื่อไม่ให้มีผลกับการดำเนินงาน  โดยแผนการทำงานของบริษัททั้งหมดจะส่งผ่าน อบต.และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา

นอกจากนั้น บ.สยามเวสต์เซอวิส จก. ได้ทดสอบด้วยการนำสารเคมีและน้ำตัวอย่างจากบ่อกากสารเคมีต่าง ๆ มาสาธิตให้ชาวบ้านกว่า 100 คน ดูวิธีการทำงาน ซึ่งหลังจากนำน้ำสีดำจากบ่อปัญหามาเทสารเคมีซึ่งบริษัทอ้างว่า เป็นสารจากแร่ภูเขาไฟ ผสมในน้ำเสียสักพัก ก็มีการตกตะกอน จากน้ำสีดำกลายเป็นสีใสขึ้นลักษณะเหมือนน้ำขุ่นทั่วไป  โดยจะมีการดำเนินการบำบัดในบ่อแรกที่มีการกั้นแล้วเสร็จก่อนตั้งแต่วันที่ 7 กย.นี้เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา นี้ มีการตรวจสอบพบว่ามีการแอบลักลอบนำกากอุตสาหกรรม และสารเคมี มาทิ้งอย่างไม่ถูกต้อง จำนวน 11 จุด โดยมีผู้ประกอบการที่กระทำความผิดจำนวน 7 ราย  อยู่ระหว่างถูกส่งฟ้องในคดีอาญา โดยบริษัทที่รับดำเนินการกำจัดของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีการอนุญาตผู้ประกอบการลักษณะดัวกล่าวทั่วประเทศมีมากกว่า 400 ราย...


Tags : ธนภัท กิจจาโกศล

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ :
www.bangkokbiznews.com



วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เจอผู้ป่วยมือเท้าปากสายพันธุ์รุนแรงในไทย 1ราย

โรคมือ เท้า ปาก

กรมควบคุมโรค เผยผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในไทยเพิ่มไม่หยุด ผวา!เริ่มพบผู้ป่วยเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71-D4 สายพันธุ์รุนแรง จำนวน 1 คนใน 100 คน ระบุหากพบป่วยเกิน 5 คน และเตรียมเสนอ รมว.สธ.ตั้งวอร์รูมควบคุมโรคสัปดาห์หน้า 
       
       วันนี้ ( 14 ก.ค.) นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้พบผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในไทยจำนวนเพิ่มขึ้นไม่หยุด จากสัปดาห์ที่แล้ว 10,800 คน ขณะนี้พบมากกว่า 12,000 คนแล้ว ผู้ป่วยพบมากที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและกระจายบางจังหวัดในภาคอีสาน ขณะที่พบผู้ป่วยแล้วทุกจังหวัดในประเทศไทยจำนวนมากน้อยต่างกันไป มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำชับสาธารณสุขจังหวัดอย่างเข้มงวดหากพบเด็กป่วยในศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ใน 1 ห้องเรียนหรือกระจายตามห้อง หากมากเกิน 5 คน คือ ให้ปิดทั้งโรงเรียนทันที นานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อตัดวงจรแพร่ระบาดของเชื้อ แต่ยังพบว่าโรงเรียนบางแห่งไม่ยอมปิดโรงเรียน ทำให้อัตราการแพร่ระบาดไม่หยุดนิ่ง ยังสูงอยู่
       
       “สัปดาห์หน้าจะนำเสนอเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขทราบ เพื่อจัดตั้งวอร์รูมขึ้นมาเป็นคณะกรรมการควบคุมโรค โดยให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดเป็นกรรมการและจะประชุมทางไกลไปยังจังหวัดที่มีผู้ป่วยจำนวนมากให้โรงเรียนในจังหวัดนั้นๆ ปิดทันที” นพ.พรเทพกล่าว 
       
       นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า แม้จะยังไม่พบผู้เสียชีวิตจากโรคมือเท้าปากในไทย แต่เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71-D4 ซึ่งเป็นสายพันธุ์รุนแรงทำให้เด็กกัมพูชาเสียชีวิต พบในไทย 1 คนในผู้ป่วย 100 คน และพบมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้เกือบ 200 คนแล้ว การพบเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71-D4 ทำให้ตนเริ่มไม่มั่นใจว่าเด็กซึ่งมีภูมิต้านทานต่ำอยู่แล้ว หากติดเชื้อดังกล่าวนี้ อาจทำให้เสียชีวิตได้ เป็นเรื่องน่าหนักใจสำหรับผู้ปกครองที่ต้องให้การดูแลบุตรหลานเด็กเล็ก จึงอยากย้ำให้ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ช่วยผู้ปกครองอีกทางด้วยการปิดโรงเรียน...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน



วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เปิดธุรกิจ 100 ล้าน อักษรย่อปริศนาโยงบ่อนการพนันซอยกิ่งเพชร

เจาะขุมข่ายธุรกิจ เลิกๆ ร้างๆ 100 ล้าน “เยาวเรศ ชินวัตร” เหยื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” แฉปริศนาอักษรย่อคนในตระกูลชินวัตรโยงสัมพันธ์เจ้าของบ่อนซอยกิ่งเพชร เทียบความมั่งคั่ง “ทักษิณ เจ๊แดง-เยาวภา”
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบข้อมูลธุรกิจนางเยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ (2546-2549) เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเครือญาติของคนในตระกูลชินวัตรถูกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย พยายามโยงว่าอาจเกี่ยวพันกับเจ้าของบ่อนการพนันในซอยกิ่งเพชร กรุงเทพฯ โดยบอกใบ้ทิ้งปริศนาอักษรย่อ “ย.” สระ “เอา”
       
       ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาปฏิเสธแทนว่าคนในตระกูลชินวัตรไม่ว่าจะเป็นนางเยาวเรศ ชินวัตร หรือนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มีใครทำเรื่องต่ำๆอย่างนั้น
       
       ทั้งนี้ ครอบครัวชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีพี่น้อง 7 คน นางเยาวลักษณ์ คล่องคำนวณการ เป็นคนโต นางเยาวเรศ ชินวัตร เป็นคนที่ 3 รองจาก พ.ต.ท.ทักษิณและเป็นพี่สาวนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ
       
       โฟกัสที่นางเยาวเรศ ชินวัตร พบว่า เป็นกรรมทั้งสิ้น 12 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนประมาณ 100 ล้านบาท ได้แก่
       
       1.บริษัท ชินวัตร (เชียงใหม่) จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 ก.ย. 2532 ทุน 50 ล้านบาท
       
       2.บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 มี.ค. 2531 ทุน 12 ล้านบาท
       
       3.บริษัท ชินวัตร เฮลท์โปร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 ก.พ. 2543 ทุน 1 ล้านบาท
       
       4.บริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 มิ.ย. 2537 ทุน 5,400,000 บาท
       
       5.บริษัท ชินวัตร โฮลดิ้ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 2 ก.ย. 2534 ทุน 3 ล้านบาท
       
       6.บริษัท วายชินวัตรา จำกัด จดทะเบียนวันที่ 18 ธ.ค. 2524 ทุน 1 ล้านบาท
       
       7.หจก. ชานเมรีเอลเดอร์ จดทะเบียนวันที่ 12 ต.ค. 2524 ทุน 200,000 บาท
       
       8.หจก. สยามแซนด์ 1980 จดทะเบียนวันที่ 16 มิ.ย. 2523 ทุน 200,000 บาท
       
       9.บริษัท ชินวัตร เทคโนโลยี แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิ เทคโนโลยี่ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) จดทะเบียนวันที่ 16 พ.ย. 2544 ทุน 5 ล้านบาท
       
       10.บริษัท ชิเซน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 ม.ค.2542 ทุน 20,500,000 บาท
       
       11.บริษัท ชินวัตร (พัทยา) จำกัด จดทะเบียนวันที่ 17 พ.ค. 2543 ทุน 5 ล้านบาท
       
       และ 12.บริษัท ไลฟ์เวลล์เนส คอร์ป จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 มี.ค. 2550 ทุน 1 ล้านบาท
       
       จากการตรวจสอบพบว่า จากขุมธุรกิจทั้งหมด 12 บริษัท 10 บริษัทเลิกกิจการและบางแห่งเป็นกิจการร้าง มีเพียง 2 แห่งที่ยังเปิดดำเนินการ คือ บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด และบริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด
       
       บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด ผลประกอบการระหว่างปี 2549-2553 มีรายได้ปีละ 360,000 บาท ปี 2553 ขาดทุนสุทธิ 657,699.97 บาท ปี 2552 ขาดทุนสุทธิ 841,878.31 บาท ปี 2551 ขาดทุนสุทธิ 911,814.31 บาท ปี5250 ขาดทุนสุทธิ 921,658.54 บาท ปี 2549 ขาดทุนสุทธิ 528,434.05 บาท
       
       บริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด วันที่ 21 กันยายน 2549 ได้เพิ่มทุน 80 ล้านบาทเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พาร์ค วิลล์ ภูเก็ต จำกัด ที่ตั้งเดิม เลขที่ 136 ซอยสุขุมวิท 23 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ นายธนกฤต สมประสงค์ ถือหุ้น 480,000 หุ้น หรือ 60% นายทวีทรัพย์ จิตต์โสภณ 160,000 หุ้น หรือ 20% นางสาวพิมพ์พิชา จินตานนท์ 160,000 หุ้น หรือ 20% นายทวีทรัพย์ จิตต์โสภณ นายธนกฤต สมประสงค์ เป็นกรรมการ ปี 2551 รายได้ 48,021,558 บาท ขาดทุนสุทธิ 4,540,288.25 บาท ปี 2552 รายได้ 28,414,698 บาท กำไรสุทธิ 6,028,539.90 บาท ปี 2553 รายได้ 8,489,044.49 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,401,317 บาท
       
       เท่ากับมีธุรกิจที่เป็นของนางเยาวเรศและเปิดดำเนินการเพียง 1 แห่ง คือ บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด น่าสังเกตว่าขาดทุนต่อเนื่องทุกปี
       
       อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาเฉพาะผลประกอบการ สถานะ “เลิกๆ ร้างๆ” เมื่อเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณเจ้าของชินคอร์ป และเอสซี แอสเสท และนางเยาวภาเจ้าของเอ็มลิงค์ ความสำเร็จทางธุรกิจของนางเยาวเรศ อาจไม่ทัดเทียม 2 พี่น้องร่วมสายโลหิต?
       
       บริษัทที่ เยาวเรศ ชินวัตร เป็นกรรมการ
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน



Sale ลดราคา...มหกรรมแหกตาประชาชน


“เมกา บางนา Mid Year Sale 30-70%”
            “สยาม เซ็นเตอร์ The Endless Legend Up to 90%” 
            “End Of Season ลดสูงสุด 80%”
            “SuperSports Sale ลดสูงสุด 50%”
       
       ขบวนป้ายลดราคาที่โหมประโคมโฆษณาทั้งสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องใจอ่อน ขาอ่อน อยากจะพุ่งเข้าใส่ ยิ่งตอนนี้มีงานลดราคา มหกรรม Sale อยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วใครเล่าจะอดใจไหว หลายคนจึงขอวิ่งโร่ไปเสียเงินสักหน่อยเพื่อความสบายใจ โดยที่เจ้าของหรือผู้ผลิตก็ยิ้มแย้มหน้าบานเหมือนหมาป่าหลอกเจ้าแกะน้อยได้สำเร็จ แถมยังหลงกลมากันเยอะอีกด้วย
       
       กลยุทธ์ทางการตลาด
       กลับมาอีกแล้วสำหรับเทศกาลลดราคาสินค้าตอนกลางปีทั้งของกินของใช้ที่มักจะวนเวียนยั่วขาช้อปกันเป็นประจำ อย่างเดือนมิถุนายนที่ผ่านมางานลดราคาแบบยิ่งใหญ่ก็มีให้เลือกเยอะแยะจนไปไม่ถูกทั้งงานบิ๊กบึ้มอย่างงานสหพัฒน์กรุ๊ปแฟร์ ที่ขนกันมาลดแลกแจกแถมทำเอาสถานที่จัดงานแทบแตกหรือตอนนี้คนมีตังค์ก็แอบอมยิ้มกับเทศกาล End Of Season ของแบรนด์ต่างๆที่ลดล้างสต็อกกันไปเลย และตอนนี้ที่ขาช้อปขาลุยคงไม่พลาดก็คือมหกรรมลดราคาถึง 90% ณ สยามเซ็นเตอร์ ที่ขอลดสะบั้นก่อนปิดปรับปรุง ที่ทำให้นักช้อปตกตะลึงอึ้งปากค้างว่า โอ้แม่เจ้า อะไรจะลดกันปานนั้น

       ทั้งหลายทั้งปวงกับโปรโมชั่น ลด แ(ห)ลก แจก แถม ก็ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่จัดมาเพื่อมากระตุ้นต่อมความอยากใช้เงินของคนบ้าช้อปทั้งหลาย โดยการลดราคาจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือ Sale Promotion เป็นการสร้างตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้า โดยส่วนมากก็มักจะพบเห็นได้อยู่ใน 3 รูปแบบได้แก่ แบบที่หนึ่ง การลดราคา อาจจะลดเป็นส่วนต่าง ลดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ หรืออาจเลขายไปเลยราคาเดียวเพื่อความไม่ยุ่งยาก แบบที่สอง การแจกคูปอง ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ เมื่อซื้อครบเท่านั้นเท่านี้ก็จะได้บัตรส่วนลดเพิ่มอีก และแบบที่สาม การจับคู่ซื้อให้ได้ราคาถูกกว่า หรือซื้อชิ้นแรกลด 10% ซื้อสองชิ้นลดเพิ่มเป็น 15%
       ในปัจจุบันการลดราคามักจะเกิดขึ้นในห้างแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) มากที่สุด คือตามห้างค้าปลีกอย่างโลตัส บิ๊กซี ที่เป็นห้างขายสินค้าในชีวิตประจำวันซึ่งมีอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องลดราคาสินค้าบางอย่างเพื่อดึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วที่เราเห็นว่าลดแล้วลดอีก มันเป็นเพียงกลยุทธ์ที่ว่าสินค้าจำเป็นลดราคาจริงๆแค่ไม่กี่ชนิดหรือลดก็ไม่ได้เยอะมากมาย แต่ลูกค้าไหนๆ ก็เสียเวลา เสียค่ารถมาซื้อแล้วก็เลยซื้อนู่นนี่พ่วงไปด้วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าสินค้าที่ไม่ได้ลดเหล่านี้เค้าอาจจะแอบเพิ่มราคาขึ้นไปโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้เลย
       

       ลุมพรางลดราคา กับดักลวงผู้บริโภค
       พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรื่องของความประหยัดคงต้องมาเป็นอันดับ 1 ดังนั้นการลดราคาจึงเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ถือว่าเกมนี้ วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ผู้บริโภคได้ของถูกและผู้ผลิตได้ยอดขาย ซึ่งการจัดลดราคาก็ต้องเอาใจลูกค้ากันสุดฤทธิ์ เพื่อเรียกคนและแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่น ดังนั้นจึงต้อมยอมขึ้นป้ายเซลล์แบบสุดๆอย่างกับแจกฟรี แล้วการจัดลดราคาแบบนี้ผู้ผลิตจะขาดทุนจริงๆหรือไม่ ก็เป็นคำถามชวนคิดอยู่ไม่น้อย
       “เรื่องของการขาดทุนไม่มีหรอก อาจจะแค่กำไรน้อยลง โดยเฉพาะ สินค้าอุปโภค สินค้าฟุ่มเฟือย พวกนี้ยิ่งไม่ขาดทุนเพราะราคาขายปกติ ส่วนบวกกำไรมัน100% อยู่แล้ว ต่อให้ลด 50% ก็ไม่มีทางขาดทุน พวกห้างร้านแบบนี้ถึงได้จัดลดราคากันบ่อยๆ อย่างพวกลดความอ้วน ราคาคอร์สละ 100,000 มาจัดโปรฯลดเหลือ 30,000-40,000 เค้าก็ยังได้กำไร แต่ถ้าไม่ลดเค้าก็ได้กำไรมหาศาลซึ่งตามหลักจริงๆแล้ว สินค้าควรได้กำไรแค่พอสมเหตุสมผล จะต้องไม่เกิน 30-35%”

       กลวิธีในการจัดลดราคาที่จริงแล้วผู้ผลิตต่างหากที่เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เราที่เป็นผู้บริโภคตาดำๆก็เลยตกเป็นเหยื่อไปกันทั้งแถบ ส่วนผู้ผลิตก็นอนนับเงินอู้ฟู่สบายๆแบบเสือนอนกินตามที่นักวิชาการด้านการตลาดอย่าง ชลิต ลิมปนะเวช อธิบายให้เราเข้าใจ ซึ่งนอกเหนือไปจากกำไรที่ไม่ได้หดหายไปสักเท่าไหร่ อีกหนึ่งวิธีขายสินค้าอีกอย่างคือการแฝงตัวของสินค้าใหม่เข้ามาด้วย ดังที่ตามร้านค้าทั้งหลายบอกว่าลด 50% ลด 70% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลดทั้งร้าน ดังนั้นก็ต้องระมัดระวังให้ดี เวลาจ่ายตังค์จะได้ไม่ต้องตกใจหงายหลังกับสินค้าที่ไม่ได้ลดไปด้วย
       “ช่วงการลดราคามันก็จะมี แฟคทอรี่ เซลล์ (Factory Sale) กับ ซีซัน เซลล์ (Season Sale) เป็นการระบายสินค้าที่เริ่มขายไม่ออกแล้ว เก่าแล้ว ตกรุ่นแล้วออกไป โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น ก็จะเอามาลด ขายเอากำไรนิดเดียว แต่เจ้าของก็จะใช้ช่องนี้แหละพ่วงสินค้าล็อตใหม่ไปด้วย และขายในราคาปกติ ไม่ลดราคา อย่างแต่ก่อน จิม ทอมป์สัน ปีหนึ่งจะมีลดครั้งเดียว จัดงานลดใหญ่โตเลยที่โรงแรม แต่มาเดี๋ยวนี้สองเดือนก็เอามาจัดลดราคากันแล้ว ผู้บริโภคที่ฉลาดก็จะรอมาซื้อกันในช่วงลดนี้ 
        
       ส่วนเรื่องของการนำสินค้ามีตำหนิ มีปัญหาจากการผลิต เอามาลดราคาหรือเอามาปนขายก็มีอยู่บ้างสำหรับเจ้าของห้างร้านที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่สินค้าที่ไม่น่าจะมีปัญหาตรงนี้คือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะถ้ามันเสียแล้วก็ใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งพวกนี้จะไม่ค่อยลดราคามากนัก”
       

       ลดแหลก หลอกให้ซื้อ สินค้าแบรนด์เนม 
       เครื่องอุปโภค บริโภคที่เราใช้ทั่วๆไป เวลาลดกันครั้งหนึ่งก็มีแต่คนต่างพากันไปซื้อมาเก็บกักตุน แต่อย่างสินค้าแบรนด์เนม มียี่ห้อต่างๆ ราคาแพงขนาดที่ว่าลดราคาแล้วก็ยังจัดว่าสูงอยู่ดีสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ บางแบรนด์ก็เอะอะเดี๋ยวลด เดี๋ยวโละ แต่บางแบรนด์รอกันจนยานกว่าจะได้ลดทั้งทีหรือเด็ดสุดก็ไม่เคยคิดจะลดราคาเลย เหตุผลสำหรับเรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไรนั้น ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย กูรูด้านการตลาดก็ชี้แจงแถลงไขว่าเพราะอาจทำให้เสียภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้านั้นได้
       “ปกติแล้วแบรนด์ที่ลดก็จะเป็นแบรนด์ทั่วไป แบรนด์หรูๆ กลุ่ม Luxury เค้าจะไม่ลดกัน โดยเฉพาะพวกตัวคลาสสิคที่ไม่ว่ากี่ปีก็ราคาเท่าเดิม คือการลดราคาเนี่ยมันแบ่งกันตามระดับสินค้า แบรนด์หรูจะไม่ลดเลย แบรนด์กลางก็ลดบ้างอย่าง Paul Smith จะลดปีละสองครั้ง แล้วก็ส่วนลดก็ไม่มากมาย แต่แบรนด์ทั่วไปก็จะลดทุกครั้งที่จบซีซันก็ต้องโละของรุ่นเก่าออกไป ซึ่งเรื่องการลดราคานี่เป็นเรื่องปกติเป็นการเปิดของออกไปเพื่อเอารุ่นใหม่มาลง” 
       อีกหนึ่งข้อสังเกตคือการที่ร้านค้าตามห้างต่างๆ แปะป้ายว่าเซลล์ไว้และก็แปะค้างไว้อยู่อย่างนั้น เดินผ่านไปผ่านมากี่ครั้งก็ยังลดอยู่ แล้วทำไมไม่ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วยการปรับราคาลงเสียเลยล่ะ ธันยวัชร์ ก็อธิบายเพิ่มเติมว่านี่ก็ถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการขายเช่นกัน
       “Discount Everyday มันก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งเพราะปกติแล้วคุณก็ไม่ซื้อจนกว่ามันจะลดใช่มั้ย ดังนั้นมันก็เป็นไปตามหลักจิตวิทยา ตั้งราคาไว้สูงๆ พอเอามาลดราคา คนเห็นว่ามันถูกก็จะซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันจะมีกลยุทธ์อีกแบบหนึ่งคือการตั้งราคาถูกๆ ตัว 199, 299 แต่ใช้ดีไซน์เนอร์ดังๆมาออกแบบในราคาที่ไม่แพง เพราะการที่จะลดตลอดทั้งปี คนก็จะเริ่มมองแล้วว่าแบรนด์นี้มีปัญหาหรือเปล่า หรือเอาของเก่าเก็บมาขายหรือเปล่า”
     
  
       เทคนิค คิดก่อนซื้อ
       ก่อนจะซื้อสินค้าใดๆก็แล้วแต่ควรคำนึงถึงความจำเป็นก่อน เพราะสมัยนี้เงินแต่ละบาทก็หามาได้ด้วยความยากเย็น แล้วสังคมตอนนี้ก็จะพบเจอเยอะเชียวกับพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง ช้อปแหลกตั้งแต่ต้นเดือน แล้วอีกหลายอาทิตย์ที่เหลือก็ต้องค่อยๆเจียดเงินใช้อย่างกระเบียดกระเสียร ถ้าตอนซื้อเรามีสติไตร่ตรองมันก็คงจะดีกว่ามานั่งกุมขมับหลังซื้อมาแล้วพบว่ามีแต่ของไร้สาระ ซึ่งนักช้อปทั้งหลายก็ควรทำตามข้อแนะนำที่เราเอามาบอกเพื่อจะได้ไม่ใจอ่อนเวลาเห็นป้ายลดราคา
       
       อันดับแรก ตั้งเป้าหมายให้แน่นอนว่าความต้องการซื้อของคุณคืออะไร มีอะไรบ้าง และตั้งงบประมาณว่าคุณสามารถจ่ายได้เท่าไหร่ หลายครั้งที่หลายคนซื้อแบบมันมือเพราะเห็นคำว่า Sale จนงบบานไปเยอะ เพราะคุณมักจะเผลอจ่ายเงินไปกับของที่ไม่ต้องการแต่ราคาถูกยั่วใจมากมายหลายชิ้นโดยไม่รู้ตัว
       
       อันดับสอง คิดคำนวณราคาและส่วนลดให้ดีอย่าลืมว่าป้ายลดราคาแต่ของไม่ลดจริงยังมีอยู่เสมอๆ และให้ดูจำนวนเงินที่คุณต้องจ่าย อย่าไปสนใจราคาส่วนต่าง เปอร์เซ็นต์ส่วนลด เพราะถ้าลดกระหน่ำแล้ว แต่ราคายังสูงลิบลิ่วทำเอาลำบาก ก็ควรมองหาอย่างอื่นดีกว่า ซื้อความสบายใจได้แต่คิดด้วยว่าถ้าเงินหมดแล้วจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงปากท้อง
       
       อันดับสาม หากเป็นสินค้าจำพวกมีวันหมดอายุทั้งอาหาร เครื่องสำอาง ตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าให้ดี อย่าผลีผลามซื้อเพราะเห็นแก่ส่วนลดหรือของแถม ไม่เช่นนั้นหากซื้อมาแล้วต้องทิ้งมันไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไปเลย
       การลดราคา ก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการตลาด เป็นวิธีการส่งเสริมการขาย เพื่อให้กลไกตลาดเดินหน้าต่อไปได้ เราในฐานะผู้บริโภคก็เลยต้องเดินหมากตามเกมอย่างหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเวลาเห็นป้าย Sale ลดกระหน่ำ ถึงแม้ส่วนลดส่วนต่าง ของแถมจะยั่วตายั่วใจให้สั่นไหวขนาดไหน ก็ขอให้ควบคุมสติไว้ให้มั่น คิดก่อนซื้อ ยิ่งถ้าไม่ใช่ของใช้ประจำวันแล้วซื้อมาใช้ก็ไม่คุ้ม ก็อย่าเผลอใจไปเลย เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย!!
       
       ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน




วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รวบหนุ่มอนาจารหญิง ประวัติอื้อเหยื่อรุมชี้ตัว

นายภูริพัฒน์ กุลพาณิชย์ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาเสื้อสีขาว
สภ.นนทบุรี แถลงผลจับกุมผู้ต้องหา ล่อลวงหญิงไปเพื่อชิงทรัพย์ และกระทำอนาจาร มีผู้เสียหายมาชี้ตัวเพิ่มอีก 3 ราย พบประวัติชอบอ้างตัวเป็นลูกนายตำรวจ และรู้จักนักการเมืองดัง รับสารภาพก่อคดีมาแล้วหลายครั้ง และจะจดสถิติไว้ในสมุดบันทึกทุกครั้ง
       
       วันนี้ (4 ก.ค.) ที่ สภ.เมืองนนทบุรี สาขาย่อยรัตนาธิเบศร์ นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผวจ.นนทบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.ชาญศิริ สุขรวย ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.อ.กองสรร ควรระงับกมล ผกก.สภ.บางศรีเมือง พ.ต.ท.ปัณณพัฒน์ เดชโชติพิสิฐ รอง ผกก.สส.เมืองนนทบุรี ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัว นายภูริพัฒน์ กุลพาณิชย์ อายุ 35 ปี ข้อหาชิงทรัพย์ พร้อมของกลางรถยนต์โตโยต้า รุ่นวีออสสีดำ หมายเลขทะเบียน ฌภ 1141 กทม. โทรศัพท์มือถือจำนวน 6 เครื่อง พระเครื่องจำนวน 13 องค์ นาฬิกา 1 เรือนไอแพ็ด 3 เครื่อง บัตรเคดิต 4 ใบ ซิมโทรศัพท์จำนวน 11 ซิม ที่ยังไม่ได้เปิดใช้ และเงินสดจำนวนหนึ่ง
       
       สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค.55 นายภูริพัฒน์ กุลพาณิชย์ ได้ชักชวน น.ส.A(นามสมมุติ)ไปทำงานอีเวนต์ โดยอ้างตัวว่า เป็นเจ้าของบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟ และได้ให้เบอร์โทร.ติดต่อไว้ น.ส.ภารดี ให้การว่าวันที่ 2 ก.ค.55 เวลา 13.00 น.นายภูริพัฒน์ กุลพาณิชย์ ขับรถมารับตนบริเวณแยกแครายเพื่อจะไปพูดคุยธุระกับเพื่อนอีกคนที่บริเวณถนนบรมราชชนนี เมื่อผู้ต้องหาขับมาถึงบริเวณซอยไทรม้า ได้บอกว่าจะเข้าไปไหว้พระ และขับรถเลี้ยวเข้าไปในซอยไทรม้า 13/1 เมื่อไปถึงบริเวณที่เปลี่ยว นายภูริพัฒน์ จอดรถ และพยายามลวนลาม ตนจึงขัดขืน ทำให้นายภูริพัฒน์ไม่พอใจ และข่มขู่จะทำร้าย ทำท่าจะหยิบอาวุธจากใต้เบาะคนขับและพูดว่า อย่าขัดขืนพร้อมกับกระชากกระเป๋าไป และโยนไว้ที่เบาะด้านหลัง แล้วรีบเปิดประตูวิ่งลงจากรถเพื่อหาคนช่วยเหลือ จากนั้น ผู้ต้องหาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขับรถหนี ต่อมา ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางศรีเมือง จนมาวันนี้ได้ข่าวว่าผู้ต้องหารายนี้ถูกจับกุม ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ดังกล่าว
       
ผู้เสียหายรุมชี้ตัว
       ด้าน พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบก.ภบก.ภ.จว.นนทบุรี กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า ได้ก่อเหตุในลักษณะเดียวกันมาหลายครั้ง ในการก่อเหตุแต่ละครั้งผู้ต้องหาจะจดบันทึกการก่อเหตุแต่ละครั้งไว้ในสมุดบันทึก และมีผู้เสียหายมาชี้ตัวเพิ่มอีก 3 ราย และยังมีหมายจับของ สน.ดุสิต ข้อหาชิงทรัพย์ และมีอาวุธปืน แล้วอ้างตัวเป็นลูกนายตำรวจ และรู้จักนักการเมือง ส่วนผู้เสียหายรายใดที่เป็นเหยื่อของนายภูริพัฒน์ให้มาติดต่อได้ที่ สภ.บางศรีเมือง
       
รถคันก่อเหตุ
       ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ได้แถลงข่าวจับกุมตัว นายสรคมน์ จันทร์ใบเล็ก อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนนทบุรีที่ 33/2555 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.55 เวลา 01.00 น.นายจักรพล ปรีชาพล นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นใช้อาวุธมีดทำร้ายจนเสียชีวิต พร้อมกับนายน้ำมนต์ นาคใจเสือ ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่ง รพ. เหตุเกิดที่ถนนรัตนาธิเบศร์ หมู่ 8 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมกับนำผู้เสียหายมาชี้ยืนยันภาพถ่ายของนายสรคมน์ ผู้ถูกจับกุมว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ก่อเหตุจริง พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาล และได้จับกุมตัวผู้ต้องหา แต่ผู้ต้องหายังให้การปฎิเสธ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ :


จับแม่ใจเหี้ยม บังคับลูกเปิดซิง 3 หมื่น

น.ส.อร (นามสมมติ) อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาเสื้อขาวสวมหมวก
ปคม.แถลงผลจับกุมแม่ใจเหี้ยมบังคับลูกค้าประเวณีครั้งแรก 30,000 บาท ก่อนถูกสาวประเภทสองนำไปเร่ขายบริการในพื้นที่จ.ระยอง จนถูกกุมดำเนินคดี ผู้ต้องหาอ้างไม่รู้เรื่อง คิดว่าลูกสาวไปทำงานรับจ้างทั่วไป 

       
       วันนี้ (4 ก.ค.) ที่ กองบังคับการปรามปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม.พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม.พ.ต.อ.ยุทธภูมิ ปั้นลายนาค ผกก.2 บก.ปคม.พ.ต.ท.ชูศักดิ์ เคทอง รอง ผกก.2 บก.ปคม.พร้อมด้วย น.ส.ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ร่วมแถลงข่าวจับกุม น.ส.อร (นามสมมติ) อายุ 29 ปี พักอยู่ย่านบางซื่อ กทม. ตามหมายจับศาลอาญาที่ 925/2555 ลงวันที่ 25 มิ.ย.ข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก ร่วมกันเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก หลังก่อเหตุบังคับลูกสาวแท้ๆวัย 14 ปี ของตัวเองขายประเวณี โดยจับกุมตัวได้บริเวณถนนท่าเรือจ้าง อ.เมือง จ.ตราด
       


       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปคม.ได้รับการประสานจากมูลนิธิปวีณาฯให้ช่วยตามหา ด.ญ.เอ ที่หายตัวไปจากบ้าน จากการสืบสวนทราบว่า ด.ญ.เอ ถูกนายสิทธิชัย หรือปลาย อินทะนาม สาวประเภทสอง นำมาเร่ขายบริการทางเพศใน จ.ระยอง จึงนำกำลังเข้าช่วยเหลือ ด.ญ.เอ และจับกุมนายสิทธิชัย ดำเนินคดีได้เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการช่วยเหลือ ด.ญ.บี ที่ถูกนายสิทธิชัย นำมาเร่ขายบริการทางเพศอีกด้วย จากการสอบถาม ด.ญ.บี ทราบว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.อร ซึ่งเป็นแม่แท้ๆนำไปขายบริการทางเพศโดยการเปิดบริสุทธิ์ในราคา 30,000 บาท ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ จากศาลอาญาและติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว
       
       สอบสวน น.ส.อร ให้การว่า มีลูกทั้งหมด 7 คน โดย ด.ญ.บี เป็นลูกสาวคนโต ส่วนลูกคนเล็กเป็นผู้หญิงอายุ 8 เดือน ทั้งนี้ ด.ญ.บี ได้เรียนหนังหนังสือแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน กทม. จากนั้นได้ลาออกและไปอาศัยอยู่กับ น.ส.เอ ที่ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งตนคิดว่าลูกสาวไปทำงานรับจ้างทั่วไปเพราะส่งเงินกลับมาให้บ้าง ทั้งนี้ไม่ทราบมาก่อนว่าลูกสาวไปค้าประเวณี
       


       "ในฐานะคนเป็นแม่ ไม่มีแม่คนไหนในโลกนี้จะบังคับให้ลูกขายตัวเลี้ยงตัวเอง แม้ฉันจะมีลูกหลายคนและมีฐานะยากจนแต่ก็ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนและไม่เคยมีความคิดนี้ในสมอง" น.ส.อร กล่าวด้วยเสียงสะอื้น
       
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ดำเนินคดีต่อไป...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ :



วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หนุ่มอเมริกันหึงหวงสาวไทย ทะเลาะกันที่ระเบียงพลัดตกดับทั้งคู่

สภาพศพนายซาวลี วีแล่น สัญชาติอเมริกัน และน.ส.ละไม ศรีสวดโม้





หนุ่มใหญ่สัญชาติอเมริกัน เกิดความหึงหวงสาวไทยมีปากเสียงกัน ก่อนออกมาทะเลาะกันที่ระเบียงโรงแรมสกายชั้น 6 เกิดพลาดท่าพลัดตกลงมาเสียชีวิตทั้งคู่ 
       
       วันนี้ (3 ก.ค.) ร.ต.อ.ศรุต ระยานนนนท์ หัวหน้าสายตรวจ สน.ลุมพินี ได้รับแจ้งเหตุว่า มีชายหญิงกระโดดลงมาจากโรงแรมสกายมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ภายในซอยสุขุมวิท 1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์รพ.จุฬา เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง
       


       ที่เกิดเหตุเป็นโรงแรม สูง 8 ชั้น บริเวณด้านหน้าของโรงแรม ทางเข้าลานจอดรถชั้นล่าง พบศพผู้เสียชีวิต 2 ราย ทราบชื่อคือ นายซาวลี วีแล่น อายุ 58 ปี สัญชาติอเมริกัน ในสภาพนอนหงายเลือดไหลนอง มีลักษณะแขนขาผิดรูป สวมเสื้อกล้ามสีเทาเข้ม กางเกงบอกเซอร์สีฟ้าลาย ใกล้กันพบศพน.ส.ละไม ศรีสวดโม้ อายุ 47 ปี ที่อยู่ 115/151 หมู่ 4 ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สภาพศพนอนหงาย มีลักษณะแขนขาผิดรูป สวมเสื้อแขนกุดลายตาลางสีฟ้า กางเกงยีนส์ขาสั้น
       
       จากการสอบสวน นายประพันธ์ มีนาค อายุ 54 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนกำลังจะออกไปซื้อโจ๊กที่บริเวณหน้าปากซอย เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันเสียงดัง จึงมองขึ้นไปที่โรงแรมก็เห็นทั้งคู่กำลังร่วงลงมาจากตัวอาคาร และเห็นผู้หญิงกำลังดิ้นอยู่หายใจรวยรินก่อนที่จะเสียชีวิต
       




       ร.ต.อ.ศรุต เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้เสียชีวิตทั้งสองพักอยู่ห้องเลขที่ 602 ชั้น 6 เข้ามาพักเมื่อวันที่ 2ก.ค. ที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุทั้งคู่ได้มีปากเสียงทะเลาะกัน หลังจากนั้นได้เดินออกมาที่บริเวณระเบียงแล้วมาทะเลาะกันต่อ ก่อนที่ทั้งคู่จะปีนระเบียงและกระโดดลงมาเสียชีวิตดังกล่าว
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากความหึงหวงฝ่ายหญิง จะต้องทำการสอบสวนหาสาเหตุต่อไป...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ :



วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แท็กซี่โจรก่อคดีจี้ชิงทรัพย์สาวการบินไทย คู่ขนานมอเตอร์เวย์

น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ ผู้เสียหายแจ้งความ
พนักงานสาวการบินไทย ถูกโซเฟอร์แท็กซี่โตโยต้าสีเขียว หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพ ใช้มีดจี้ชิงทรัพย์ขณะนั่งโดยสารอยู่เบาะหลังบริเวณคู่ขนานมอเตอร์เวย์ หลังเลิกงานเลี้ยงสังสรรค์ที่อาร์ซีเอเพื่อกลับบ้านย่านศรีนครินทร์ ได้ทรัพย์สินไป 5 หมื่นบาท ผู้เสียหายเปิดประตูวิ่งหนีลงจากรถ ก่อนคนร้ายขับรถหนีไป

       
       วันนี้ (1 ก.ค.) น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2001/102 ซ.สุขุมวิท 101/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ อาชีพพนักงานฝ่ายครัวการบินไทย ได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.พงศพิเชษฐ จำปางาม พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ลาดกระบัง ว่า ได้ถูกคนร้ายที่อยู่ในคราบของแท็กซี่ จี้เอาทรัพย์สินไปขณะนั่งรถกลับบ้าน หลังจากที่เลิกจากงานเลี้ยงย่านอาร์ซีเอ ถนนพระราม 9 ได้ทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 5 หมื่นบาท
       
       น.ส.ชลลดา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนที่ย่าน RCA ถนนพระราม 9 หลังจากงานเลี้ยงเลิก ได้ขึ้นรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า สีเขียว หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพ จากริมถนนหน้าอาร์ซีเอเพื่อกลับบ้านที่ย่านศรีนครินทร์ โดยได้นั่งที่เบาะหลังด้านซ้ายของแท็กซี่คันดังกล่าว ระหว่างวิ่งรถมาตามทางถนนพระราม 9 ขาออก จากนั้น แท็กซี่ก็ได้วิ่งเปลี่ยนเส้นทาง โดยวิ่งเลยมายังถนนคู่ขนานมอเตอร์เวย์ ซึ่งสังเกตเห็นว่าผิดเส้นทาง ตนเองจึงได้ทักท้วงกับคนขับแต่คนขับกลับบอกว่า “เป็นทางลัด”
       
       ต่อมา เมื่อวิ่งมาถึงบริเวณหน้าลานจอดรถ วัดคุณแม่จันทร์ ถ.เลียบทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์ แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว คนขับรถแท็กซี่จึงแสดงตัวเป็นคนร้าย ได้จอดรถแล้วใช้อาวุธมีดหันหลังมาจี้ตน พร้อมปิดล็อกประตูทั้งสี่ด้าน แล้วบอกให้ส่งกระเป๋ามา ซึ่งตนเองกลัวว่าจะถูกทำร้าย จึงได้ยื่นกระเป๋าถือให้ และภายในนั้นมีบัตรต่างๆ เงินสด จำนวน 1,500 บาท โทรศัพท์ยี่ห้อไอโฟน 4 จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์ยี่ห้อแบล็กเบอรี จำนวน 1 เครื่อง กุญแจรถยนต์ รวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 5 หมื่นบาท จากนั้น ตนเองก็พยายามรีบเปิดล็อกรถ และวิ่งหลบหนีออกมาจากรถแท็กซี่อย่างรวดเร็วเพราะเกรงจะถูกทำร้าย แล้วได้ร้องความช่วยเหลือจากคนละแวกนั้น ส่วนคนร้ายหลังได้ทรัพย์สินรีบขับรถหลบหนีไป
       
       พ.ต.ท.สายันต์ เพ็ชรยืนยง รอง ผกก.สน.ลาดกระบัง เปิดเผยว่า หลังรับแจ้งเหตุจากทางผู้เสียหายแล้ว จากการสอบสวนทราบว่า ผู้เสียหายได้มีการโทรศัพท์คุยกับเพื่อนว่า ได้ขึ้นรถแท็กซี่ยี่ห้อ และทะเบียนอะไรกลับบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกับผู้โดยสารทุกคน ยิ่งเป็นสตรีควรจะกระพึงทำ และสามารถจดจำในรายละเอียดได้ทำให้เป็นประโยชน์อย่างมากเวลาเกิดเหตุ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถ และประวัติคนขับแท็กซี่เพื่อเร่งหาเบาะแสนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 1 กรกฎาคม 2555 14:09 น.